หน้าหลัก ค้นหา ติดต่อ สมุดโทรศัพท์ การเรียน/การสอน เหตุการณ์ แผนที่เว็บ Thai/Eng
MCU
Mahachulalongkornrajavidyalaya University


ข้อมูลเรื่อง


มหาวิทยาลัย


การบริหาร

วิชาการ

การวิจัย

หลักสูตรมหาวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย

วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ

คณะและส่วนงาน

ทำบุญกับมหาจุฬาฯ

งานบริการวิชาการแก่สังคม

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กฎระเบียบและประกาศ


ข้อมูลสำหรับ

อาจารย์/บุคลากร

นิสิต

สมาคมศิษย์เก่า



  สถิติเข้าชมส่วนงาน  
ของวิทยาเขต
คลิ๊กเพื่อเลือกส่วนงาน
กรุงเทพ ฯ
คณะ/บัณฑิตวิทยาลัย
วิทยาเขต
วิทยาลัยสงฆ์
ห้องเรียน

 พุทธานุพุทธประวัติ

    อนุพุทธประวัติ

               คำว่าอนุพุทธประวัติ แบ่งออกเป็น ๓ คำ คือ อนุ แปลว่าตาม พุทธะ แปลว่าตรัสรู้ และประวัติ แปลว่าเรื่องราวความ
เป็นไป รวมกันเข้าจึงได้ความว่า เรื่องราวชีวประวัติของบุคคลหรือพระสาวกผู้ที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วได้ตรัสรู้ตาม ซึ่งบางรูปก็ได้บรรลุคุณธรรมชั้นสูงทำตนให้พ้นจากอาสวะกิเลสได้สิ้นเชิง บางรูปละกิเลสได้เป็นบางส่วน ตามกำลังสติปัญญา
ความสามารถของตน ซึ่งท่านเหล่านี้แหละที่ได้เป็นพยานหลักฐานอย่างดีในการรับรองปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า
พระองค์ได้ตรัสรู้จริง

               พระอนุพุทธ (พระสาวก) ในหลักสูตรธรรมศึกษาชั้นโทมีทั้งสิ้น ๔๐ องค์ ซึ่งเป็นพระอริยสาวกที่ได้รับการยกย่อง
ว่าเป็นผู้เลิศ หรือเอตทัคคะในด้านต่างๆ

       พระอัญญาโกณฑัญญเถระ
          เอตทัคคะ : รัตตัญญู คือผู้รู้ราตรีนาน (บวชก่อน)


          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน โกณฑัญญะพราหมณ์ซึ่งหนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ ๑๐๘ คน ได้ทำนาย
ลักษณะพระราชกุมารเป็นทางเดียวว่าจะเสด็จออกบวชได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกอย่างแน่นอน ตนเองก็มีความ
เลื่อมใสศรัทธาจะออกบวชตาม
           เมื่อทราบข่าวการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร จึงได้ชักชวนหราหมณ์อีก ๔ ท่าน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานา
มะ และอัสสชิ ทั้งหมดรวมเรียกว่า “ปัญจวัคคีย์” แปลว่า “กลุ่มคน ๕ คน” ท่านได้เป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี แต่ไม่ทรงตรัสรู้ จึงทรงเลิก แล้วกลับมาบำเพ็ญเพียรทางจิต
           ส่วนโกญฑัญญะพราหมณ์พร้อมกับเพื่อนหมดความเลื่อมใสในพระองค์ จึงพากันหนีไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี

           ภาคการปฏิบัติ
           เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ฝ่ายปัญจวัคคีย์เมื่อทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธองค์ จึงนัดหมายกันว่าจะไม่ไหว้ ไม่ต้อนรับ ไม่รับบาตรและจีวรของพระองค์ แต่พอพระพุทธองค์เสด็จไปถึง กลับลืมกติกาที่ได้ทำกัน
ไว้ เพราะความเคารพที่เคยมีต่อพระองค์ แต่มีกิริยาอาการแข็งกระด้างกระเดื่องด้วยการพูดออกพระนามว่า “อาวุโส” ซึ่งถือว่า
เป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง พระองค์ทรงห้ามไม่ให้ใช้คำพูดอย่างนั้น พระองค์ทรงตรัสว่า “พระองค์ได้บรรลุธรรมแล้ว ถ้าเธอ
ปฏิบัติตามคำสอนของเรา ในไม่ช้าก็จะได้บรรลุธรรมเช่นเดียวกัน” ทำให้โกญฑัญญะพราหมณ์พร้อมกับเพื่อนมีความเชื่อมั่นใน
พระดำรัสของพระพุทธองค์ เพราะแต่ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่เคยตรัสอย่างนี้นั้นเอง
           หลังจากที่ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” จบ โกณฑัญญะพราหมณ์ก็เกิดดวงตา
เห็นธรรม คือบรรลุพระโสดาบันว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” ด้วยเหตุ
นี้ พระพุทธองค์จึงเปล่งพระอุทานว่า “โกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ” จากนั้น ท่านจึงได้ชื่อใหม่ว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” เพราะเหตุที่
ี่ท่านได้บรรลุธรรมก่อนใครทั้งหมดนั้นเอง
           ท่านได้ขออุปสมบท และพระพุทธองค์ทรงอนุญาต และตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจง
ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” การอุปสมบทอย่างนี้ เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” และท่านได้เป็นพระ
ภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา หรือปฐมสาวกนั้นเอง
           ท่านบวชไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะพระธรรมเทศนาชื่อว่า “อนัตตลักขณสูตร” ได้แก่สูตรที่ว่าด้วยรูป เวท
นา สัญญา สังขาร และวิญญาณไม่ใช่ตัวตนนั้นเอง และได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศในทางผู้รู้ราตรี(รัตตัญญู) คือรู้ธรรมที่พระพุทธ
องค์ตรัสสอนก่อนใครทั้งหมด

           ภาคการประกาศพระศาสนา
           หลังจากท่านได้ศึกษาและปฏิบัติเป็นพระอรหันต์อเสขบุคคลแล้ว ก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาเป็น
พระธรรมจาริกรุ่นแรกได้อย่างดี ต่อมาท่านได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อเทศนาโปรดบรรดาญาติให้หันมาเลื่อมใสในพระ
พุทธศาสนา โดยเฉพาะบุตรของน้องสาวชื่อว่า “ปุณณะ” มีความศรัทธาเลื่อมใสท่านมากถึงขั้นยอมออกบวชถวายชีวิตในพระ
พุทธศาสนา
           จากนั้นก็กราบทูลลาพระพุทธองค์ไปอยู่ป่าหิมวันต์ ในป่าฉัททันต์ฝั่งแม่น้ำมันทากินี เป็นเวลาถึง ๑๒ ปี แล้วจึงปรินิพ
พานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน คือดับทั้งกิเลสพร้อมทั้งขันธ์ ๕ อย่างสิ้นเชิง

           ข้อควรจำ
           ท่านเป็นหนึ่ง(หัวหน้า)ในปัญจวัคคีย์ทั้ง๕
           ท่านเป็นผู้เลิศด้านรัตตัญญู คือผู้รู้ราตรีนาน เพราะบวชก่อนใครทั้งหมด
           ท่านได้หลานชาย(ลูกน้องสาว)คือพระปุณณมันตานีบุตรเป็นลูกศิษย์ และได้มีกุลบุตรบวชในสำนักของท่านเป็นจำนวนมาก
           ท่านเป็นปฐมสาวกในพระพุทธศาสนา

        พระอุรุเวลกัสสปเถระ
         เอตทัคคะ : ผู้มีบริวารมาก


           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           ชื่อเดิมคือ “กัสสปะ” เกิดในตระกูลพราหมณ์ ที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ตระกูลกัสสปโคตร มีพี่ร่วมท้องเดียวกัน คือ
น้องชาย ๒ คนได้แก่ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ทั้ง ๓ พี่น้อง ต่างเป็นอาจารย์สอนคัมภีร์ไตรเพท แก่ศิษย์ผู้เป็นบริวารของตนๆ รวมจำนวนถึง ๑,๐๐๐ คน
           ต่อมาท่านเห็นว่าความรู้ที่มีอยู่ไม่มีสาระแก่นสาร จึงได้ชักชวนกันออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตด้วยการบูชาไฟ ถือว่า
ตนเป็นพระอรหันต์ สร้างอาศรมสั่งสอนลัทธิอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
           หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงส่งสาวก ๖๐ องค์ไปประกาศพระศาสนา และเสด็จไปโปรดชฏิลทั้ง ๓ พี่น้อง พระองค์
ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ จนทำให้ชฏิลทั้ง ๓ พี่น้องละพยศลดทิฏฐินะกลับมาเลื่อมใส และยอมรับนับถือพระรัตนตรัย ได้ขอ
บรรพชาอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

            ภาคการปฏิบัติ
            ต่อมา พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมชื่อ “อาทิตตปริยายสูตร” ซึ่งมีใจความว่า “ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นของ
ร้อนคือร้อนด้วยไฟ คือราคะ โทสะ และโมหะ” เป็นต้น เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต

 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            จากนั้น พระพุทธองค์ทรงพาพระอรหันต์ จำนวน ๑,๐๐๓ องค์เข้าไปประกาศพระศาสนาถึงเมืองราชคฤห์ประทับอยู่
ที่สวนตาลหนุ่ม ชื่อว่า “ลัฏฐิวัน”

            พระเจ้าพิมพิสารทราบข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า พระพุทธองค์ทอดพระเนตรข้า
ราชบริพารมีกิริยาอาการไม่อ่อนน้อม จึงตรัสสั่งให้พระอุรุเวลกัสสปะประกาศลัทธาของท่านว่าไม่มีแก่นสาร ท่านจึงได้ทำตาม
พระพุทธดำรัส คนเหล่านั้นสิ้นความสงสัย ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนา ชื่อว่า “อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔
            เวลาจบเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ ส่วน ได้บรรลุโสดาปัตติผล อีก ๑ ส่วน ได้ดำรงอยู่ในไตรสรณ
คมน์ เป็นเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารถวายวัดแห่งแรกแก่พระพุทธศาสนาชื่อว่า “เวฬุวัน”
            ท่านได้รับการยกย่องว่าเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีบริวารมาก เพราะท่านได้บำเพ็ญบารมีและปรารถนา ในยุคสมัยของ
พระพุทธเจ้าพระนามว่า “ปทุมุตตระ”
            พระอุรุเวลกัสสปะ ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา และปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือ การ
ดับกิเลสพร้อมทั้งขันธ์ ๕

            ข้อควรจำ
            ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “อาทิตตปริยายสูตร” คือสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
            ท่านมีบริวาร ๕๐๐ นทีกัสสปะ ๓๐๐ คยากัสสปะ ๒๐๐ รวมเป็น ๑,๐๐๐
            ท่านได้เป็นอาจารย์ที่ชาวเมืองราชคฤห์นับถือมาก
            ท่านพร้อมทั้งน้องชาย ๒ คน บูชาไฟอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
            ชฏิล แปลว่า “ผู้มีผมเป็นมวย หรือผู้มีมวยผม” นั้นเอง
            แคว้นมคธมีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ปกครอง

         พระสารีบุตรเถระ
         เอตทัคคะ : ผู้มีปัญญามาก


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            มีนามเดิมว่า “อุปติสสะ” เกิดที่หมู่บ้านอุปติสสะ เมืองนาลันทา ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เมื่อช่วงเป็นหนุ่มน้อย บิ
ดาได้หาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเป็นบริวารถึง ๕๐๐ คน
            วันหนึ่ง หลังจากได้ชมมหรสพดังเช่นทุกปีบนยอดเขาแล้ว กลับมีกิริยาอาการและความรู้สึกที่ไม่เหมือนเก่า คือถึงตอน
หัวเราะสนุกสนาน ถึงตอนเศร้าโศกก็ไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศก ถึงตอนจะให้รางวัลก็ไม่ให้รางวัล แต่มีความรู้สึกสังเวชสลดใจ
ว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่นี้ อยู่ได้ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็คงตายกันหมด แล้วก็มีตัวละครคนใหม่มาแสดง
แทนเราเอง มัวมาหลงดูอยู่ทำไม ไฉนจึงไม่แสวงหาโมกขธรรม(ความหลุดพ้น)” มีความเบื่อหน่ายในชีวิต และได้ออกบวชอยู่ใน
สำนักของสัญชัยปริพพาชก ก็ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตนต้องการ เพราะว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้

 
          ภาคการปฏิบัติ
            เช้าวันหนึ่ง อุปติสสปริพพาชก ได้พบพระอัสสชิเถระ กำลังออกรับบิณฑบาตโปรดสัตว์ด้วยอาการอันสงบสำรวม ก็เกิด
ความเลื่อมใสว่า “นักบวชแบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านคงจะเป็นพระอรหันต์แน่” จึงเข้าไปถามว่า “ท่านมีอินทริย์ผ่องใส ผิว
พรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเชิดชูใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร” จึงได้คำตอบจากพระอัสสชิอย่าง
ถ่อมตนว่า “อาตมาเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยของพระศาสนดาไม่นานนัก อาตมาจึงไม่สามารถพอที่จะบอกถึงคำสอน
ของพระศาสดาโดยพิสดารได้” จึงขอกล่าวธรรมโดยย่อว่า

            “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้และตรัสถึงความดับ(เหตุ)ไว้ด้วย พระสมณะผู้ยิ่ง
ใหญ่มีปรกติตรัสอย่างนี้”
 
          พอกล่าวจบ อุปติสสปริพพาชก ก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงกลับไปบอกเพื่อนโกลิตปริพพาชกให้บรรลุโสดาบันเช่น
เดียวกัน และทั้งสองจึงชักชวนกันไปพบกับอาจารย์สัญชัยปริพพาชก เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ แต่ก็ถูกอาจารย์ปฏิเสธอย่างแข็ง
ขันว่า “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” บอกว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย” ถ้าอย่างนั้น “ขอให้คนฉลาดจงไปหาพระสม
ณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาฉัน”
 
          ทั้งสองจึงอำลาอาจารย์สัญชัยพร้อมด้วยบริวาร ๒๕๐ คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวัน และขออุปสมบทด้วยเอหิ
ภิกขุอุปสัมปทา จึงมีชื่อใหม่ว่า “สารีบุตร” ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “เวทนาปริคคหสูตร” ซึ่งพระพุทธองค์แสดงแก่หลาน
ชายชื่อ “ทีฆนขปริพพาชก” ที่ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน และก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเลิศในทางมีปัญญามาก และเป็นอัครสาวกเบื้องขวา

 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เช่น ได้เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้บรรดาสามเณร มีสาม
เณรราหุล สามเณรสุข และสามเณรสังกิจจะ เป็นต้น ต่อมาท่านยังได้ชักจูงให้น้องชาย คือ พระจุนทะ เป็นต้น พร้อมทั้งน้องสาว
คือนางจาลา เป็นต้น หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและออกบวช และท่านยังเป็นต้นเหตุให้พระมหากัสสปะประชุมสงฆ์ทำ
สังคายนา เพราะแนวคิดของท่าน นอกจากนั้น ท่านยังเป็นยอดกตัญญูเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธพราหมณ์ซึ่งเคยใส่บาตรแค่
ทัพพีเดียวเป็นต้น
            ก่อนจะปรินิพพานเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ(ถ่ายจนเป็นเลือด) หลังจาก
ท่านได้เทศนาโปรดมารดาจนได้บรรลุโสดาบันแล้ว จึงปรินิพพานในที่สุด


            ข้อควรจำ
            ท่านเปรียบเสมือนแม่ผู้ให้กำเนิดบุตร คือผู้บวชให้พระภิกษุ
            ท่านได้รับนามใหม่อีกว่า “เป็นธรรมเสนาบดี”
            ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
            ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรม
            ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกที่บวชด้วยญัตติจถุตถกรรมวาจา

         พระมหาโมคคัลลานเถระ
         เอตทัคคะ : ผู้มีฤทธิ์มาก


           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           เดิมชื่อว่า “โกลิตะ” บ้านเดิมชื่อว่า “โกลิตคาม” อยู่ใกล้เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อว่า “โกลิตะ” มารดาชื่อว่า “โมคคัลลี” ฉะนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า “โมคคัลลานะ” มีเพื่อนสนิทชื่อว่า “อุปติสสะ หรือ พระสารีบุตร” นั้นเอง

           ภาคการปฏิบัติ
           ท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล เพราะได้ฟังธรรมจากเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า “อุปติสสะ” หลังจากที่ไปพบพระอัสสชิเถระและได้
ฟังธรรมจากท่านมาก่อนหน้านี้ไม่นาน จึงได้ชักชวนกันพร้อมทั้งบริวาร คนละ ๒๕๐ คน ไปขอบวชต่อพระพุทธองค์ ที่วัดเวฬุวัน หลังจากบวชแล้ว ได้ทูลลาพระพุทธองค์ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ หมู่บ้านกัลลวาละ แคว้นมคธ ก็เกิดอาการง่วงเหงาหาว นอน
อย่างมาก ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เลย ทราบถึงพระพุทธองค์ตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๘ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปให้อุบาย
แก่ง่วงให้ท่านถึง ๘ ข้อด้วยกัน ท่านตั้งใจปฏิบัติตามทันที พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิต จึงตรัสสอนเรื่อง “ธาตุกัมมัฏฐาน” คือให้พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราของเรา ท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ภายในวันที่ ๘ นั้นเอง

           ภาคการประกาศพระศาสนา
           ท่านเป็นผู้เลิศในด้านการแสดงฤทธิ์มาก และเป็นอัครสาวกเบื้องขวาและก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศศาสนา โดย
เฉพาะ ได้เป็นอาจารย์ประกาศธรรมแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านได้แสดงฤทธิ์ปราบบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิจำนวนมาก เช่น การแสดงฤทธิ์ปราบเศรษฐีมัจฉริยโกสิยะด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดความกลัว และยอมเฝ้าพระพุทธองค์ ถวายเป็นพุทธบูชาตลอด
ชีวิต
           นอกจากนั้น ท่านยังได้ปราบนาคราชชื่อว่า “นันโทปนันทะ” และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือท่านพร้อมกับพระสารี
บุตรร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหา ในคราวที่พระเทวทัตประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์จนสำเร็จด้วยดี
           ในตอนปลายชีวิตของท่าน นิพพานเมื่อวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ณ ถ้ำกาฬศิลา แคว้นมคธ โดยถูกพวกโจรซึ่งรับจ้าง
มาจากพวกเดียรถีย์ลอบสังหารถึง ๓ ครั้ง จนร่างกายแหลกละเอียด หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วันนั้นเอง

           ข้อควรจำ
           ท่านเปรียบเสมือนแม่นมของพวกภิกษุคือเป็นผู้เลี้ยงดูสั่งสอนภิกษุ
           ท่านถูกโจรทำร้ายจนเสียชีวิต เพราะอดีตกรรมที่เคยทำร้ายพ่อแม่
           พระศาสดาได้บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้ที่ซุ้มประตูวัดเวฬุวัน
           ท่านเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวัดบุพพารามของนางวิสาขา
           ท่านพร้อมทั้งพระสารีบุตรช่วยระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑล
           ท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย

        พระมหากัสสปเถระ
         เอตทัคคะ : ผู้ทรงธุดงค์คุณ


           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           เดิมชื่อว่า “ปิปผลิมาณพ” เกิดที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อว่า “มหาติฏฐะ” ในแคว้นมคธ เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อว่า “กปิละ” ส่วนมารดาไม่ปรากฏชื่อ แต่งงานกับนางภัททกาปิลานี เมื่ออายุ ๒๐ ปี ตามความต้องการของบิดามารดา เพราะทั้งสองไม่ต้อง
การครองเรือนนั้นเอง หลังจากบิดามารดาเสียชีวิตแล้ว ทั้งสองได้ชักชวนกันออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลกนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
(ผ้าย้อมน้ำฝาด) แม้จะถูกข้าทาสบริวารอ้อนวอนให้อยู่อย่างไรก็ไม่ยอมเลิกละความตั้งใจ จึงได้แยกย้ายกันไปอยู่คนละที่

 
         ภาคการปฏิบัติ
           ในคัมภีร์กล่าวว่า ขณะที่ทั้งสอง แสดงความเคารพกันและกัน และได้แยกย้ายกันไปอยู่คนละที่นั้น ก็เกิดมีเหตุการณ์
์อัศจรรย์ คือแผ่นดินไหว ฟ้าร้องครวญคราง เป็นต้น

           ท่านได้ไปพบพระพุทธองค์ที่ต้นไทรชื่อว่า “พหุปุตตนิโครธ” ระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พระพุทธองค์
ทรงประทานการบวชให้ท่านแบบ “โอวาท ปฏิคคหณูปสัมปทา” คือการบวชด้วยการประทานโอวาทให้ ๓ ข้อ คือ ๑.) ทรงสอน
ให้มีหิริโอตตัปปะในภิกษุที่เป็นเถระ นวกะ และปานกลาง ๒.) ทรงสอนให้ฟังธรรมทั้งหมดที่ประกอบไปด้วยกุศล ด้วยความ
เคารพและทรงจำไว้ให้ได้ ๓.) ทรงสอนให้เจริญกายคตาสติอย่างสม่ำเสมอ
 
         ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคร่งขรัด ในธรรมวินัย โดยเฉพาะการถือธุดงค์ ถึง ๓ ข้อ ตลอดชีวิต คือ การอยู่ป่าเป็นวัตร เที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตร และนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เป็นเบื้องต้น ต่อมาพระพุทธองค์ได้ประทานผ้าสังฆาฏิเก่าให้ท่านใช้ จึงเกิด
ความซาบซึ้งและตระหนักถึงความเป็นศาสนทายาทเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สมาทานธุดงควัตรอีก ๑๐ ข้อ รวมเป็น ๑๓ ข้อ นับตั้งแต่
วันที่บวช
 
         ท่านได้บำเพ็ญเพียรเจริญสมถะและวิปัสสนาอย่างหนัก จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ผลในวันที่ ๘ หลังจากบวชแล้ว

 
         ภาคการประกาศพระศาสนา
           หลังจากบรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยประกาศพระศาสนาจนมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก ท่านเป็นผู้ริเริ่มชักชวนพระสา
วกที่ไปร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพจำนวนมาก จัดทำสังคายนาพระธรรมวินัย และได้คัดเลือกเฉพาะพระอรหันต์ที่บรรลุ
ุอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ รวมทั้งท่านด้วย เป็น ๕๐๐ องค์ และทำสังคายนา(การร้อยกรอง)ครั้งแรก ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภาระ ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธ นับว่าท่านได้เป็นประธานในการวางรากฐานของพระ
พุทธศาสนาอย่างยั่งยืนและมั่นคงถาวรจนถึงปัจจุบัน
 
         ท่านมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปีแล้วจึงนิพพาน ณ เชิงเขาชื่อว่า”กุกกุฏสัมปาตะ” ในแคว้นมคธ

           ข้อควรจำ
           ท่านออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก
           ท่านได้รับสังฆาฏิจากพุทธองค์ ซึ่งเป็นการยกย่องอย่างยิ่ง
           ท่านเป็นต้นแบบของผู้มักน้อยสันโดษ คือสมาทานธุดงค์ครบทั้ง ๑๓ ข้อ
           ท่านได้เป็นประธานจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรก
           ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในการถือธุดงค์เป็นวัตร


        พระมหากัจจายนเถระ
         เอตทัคคะ : อธิบายความย่อให้พิศดาร


 
         ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           ท่านมีชื่อว่า “กาญจนะ หรือกัญจนะ” บิดาชื่อว่า “วัจฉพราหมณ์” ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชติ ตระกูลกัจจา
ยนะ อยู่ในแคว้นอวันตี มารดาชื่อว่า “จันทนปทุนา” เกิดในนครอุชเชนี เรียนจบไตรเพท ได้รับหน้าที่เป็นปุโรหิตแทนบิดา


           ภาคการปฏิบัติ
           พระเจ้าจัณฑปัชโชติ ทราบข่าวการอุบัติเกิดขึ้นของพระพุทธองค์ จึงมอบหมายให้กัจจายนะพร้อมกับผู้ติดตามอีก ๗ คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็บรรลุพระอรหันต์ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสแล้ว
จึงขอบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในการขยายเนื้อความย่อให้พิสดาร


           ภาคการประกาศพระศาสนา
           ครั้นได้บวชแล้ว ก็ได้นิมนต์พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระเจ้าจัณฑปัชโชติ และชาวเมืองที่อยู่แคว้นอวันตีเกิดความ
เลื่อมใสเข้าถึงพระรัตนตรัย จนทำให้พระมเหสีองค์หนึ่งเกิดพระราชศรัทธาได้สร้างวัดถวายเป็นหลักฐานไว้ในพระราชอุทยาน
เป็นแรก

           ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองกุรฆระ แคว้นอวันตี ภูเขาปวัตตะ เมืองกุรรฆระ ซึ่งเป็นชายแดนที่มีผู้เลื่อมใสมาก ใคร่
จะบวชศิษย์ที่ชื่อว่า “โสณกุฏิกัณณะ” แต่หาพระมาให้ครบจำนวนที่จะบวชไม่ได้ จึงรออยู่ถึง ๓ ปี จึงบวชได้ เมื่อบวชแล้ว ก็อยาก
จะไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระมหากัจจายนะจึงฝากความไปทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ และแก้ไขพุทธบัญญัติทั้ง ๕ ข้อ ดังนี้
 
         ๑. การบวชในปัจจันตชนบท มีพระสงฆ์ครบจำนวน ๕ รูป ก็บวชได้
           ๒. พระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบท อนุญาตสวมรองเท้าหลายชั้นได้
           ๓. พระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบท อนุญาตให้สรงน้ำทุกวันได้
           ๔. พระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบทอนุญาตให้นั่งบนอาสนะหนังสัตว์ได้
           ๕. พระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบท รับจีวรที่ทายกปวารณาถวายไว้เกิน ๑๐ วันได้

           ท่านทำให้พราหมณ์กัณฑรายณะซึ่งกระด้างกระเดื่องกลับมาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะได้ฟังคำที่ท่านกล่าวว่า
“คนอายุ ๘๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี ถ้ายังเสพกามอยู่ก็ยังนับว่าเป็นคนหนุ่มสาวอยู่ แต่คนหนุ่มสาวแม้จะอยู่ในวัยแรกรุ่น ถ้าไม่เสพกามก็
นับว่าเป็นคนแก่ได้” ดังนี้

 
     พระโมฆราชเถระ
        เอตทัคคะ : ทรงจีวรเศร้าหมอง

           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           พระโมฆราช เป็นวรรณะกษัตริย์ บิดามารดาของท่านไม่ปรากฎชื่อ ท่านมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย และได้รับความ
ทุกข์ทรมานมาก แม้จะเป็นคนใหญ่โตและมีทรัพย์สมบัติมากมายก็ช่วยไม่ได้ จึงได้ชื่อว่า โมฆราช ซึ่งแปลว่า ราชาผู้หาความสุข
ไม่ได้
           ท่านเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวน ๑๖ คนที่พราหมณ์พาวรีส่งไปทูลถามปัญหาพระพุทธองค์ ที่ปาสารเจดีย์ ทูลถามปัญ
หาถึง ๓ ครั้งพระองค์จึงทรงตอบ เพราะต้องการทำลายทิฐิมานะของท่านที่คิดว่าตนเองมีความเฉลียวฉลาด ซึ่งท่านถามว่า “ข้า
พระองค์จะมองดูโลกอย่างไรดี พญามัจจุราช(ความตาย)จึงจะมองไม่เห็น” พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า “เธอจงเป็นผู้มีสติอยู่ทุก
ขณะพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นที่ยึดว่าเป็นตนเสีย แล้วจะพ้นจากความตายด้วยอาการอย่างนี้”

 
          ภาคการปฏิบัติ
            เมื่อพระโมฆราชมาณพฟังพระศาสดาแก้ปัญหาจบลง จิตของท่านก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วย
อุปาทาน จึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทกับพระพุทธองค์

            พระศาสดาตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติธรหมจรรย์เถิด
            ท่านพร้อมด้วยบริวารอีก จำนวน ๑,๐๐๐ คน พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนจนเกิดความรู้แจ้งและได้บรรลุ
ความ เป็นพระอรหันต์

 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านเป็นพระเถระรูปหนึ่งที่มีความสำคัญในการประกาศพระศาสนาด้วยปฏิปทาปอนๆ ของท่าน ทำให้บุคคลที่อยู่ใน
ประเภทลูขัปปมาณิกา คือผู้ศรัทธาเลื่อมใสหนักไปในทางใช้ชีวิตแบบสมถะ หรือปอน ๆ ของท่าน ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิต และ
เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังด้วย จนได้รับการยยกย่องจากพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้
ทรงจีวรอันเศร้าหมองในศาสนาของพระองค์ ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


 
      พระราธเถระ
         เอตทัคคะ : มีปฏิภาณ

            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            ท่านเกิดในวรรณะพราหมณ์ ตระกูลพราหมณ์ยากจน ในเมืองราชคฤห์ มีน้องชายชื่อว่า “สุราธะ”

            ชีวิตของท่านมีความลำบากมาก เพราะมีความยากจน พอแก่ตัวก็ถูกลูกเมียรังเกียจไล่ออกจากบ้าน จึงมาอาศัยวัดพระ
เชตวันเป็นที่พักพิง โดยอุปนิสัยของท่านแล้วเป็นคนใจบุญสุนทาน มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก่อน แม้จะยาก
จนเข็ญใจอย่างไร ท่านก็ยังทำบุญใส่บาตร แม้พระสารีบุตรก็ยังเคยรับบาตรจากท่านมาแล้ว เวลามาอยู่วัดก็มีความขยันหมั่นเพียร
รับใช้พระภิกษุสามเณรปัดกวาดเช็ดถูวัดวาอารามไม่เคยขาดตกบกพร่องก็ว่าได้ จนทำให้พระเณรในวัดมีเมตตาอนุเคราะห์ท่าน ด้วยการให้อาหารการกินมีความสุขตามอัตภาพ

 
          ภาคการปฏิบัติ
            ครั้งหนึ่ง เมื่อท่านอยากจะบวช แต่ก็ไม่มีใครบวชให้ ท่านก็เสียใจจนร่างกายซูบผอม พระพุทธองค์จึงประชุมสงฆ์
ตรัสถามไปให้ดีๆ แล้วพูดว่า “มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะได้บ้าง” พระสารีบุตรระลึกถึงท่านว่า เคยใส่บาตรให้ฉันทัพพี
หนึ่ง ท่านจึงรับปากว่าจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธะเอง พระพุทธองค์ก็กล่าวสาธุการแก่พระสารีบุตรว่าเป็นผู้มีความกตัญญ
ูเป็นเลิศ และท่านราธะก็เป็นคนแรกที่บวชด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมวาจา เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอุปัช
ฌาย์อาจารย์อย่างเคร่งครัด เป็นพระหลวงตาที่ว่านอนสอนง่าย ซึ่งไม่เหมือนกับหลวงตาอื่นๆ ท่านได้ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา
ไม่นานนัก ก็บรรลุความเป็นพระอรหันต์

            ภาคการประกาศพระศาสนา
            หลังจากที่ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็มีความสนใจในการเพ่งพินิจธรรม วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งพิจารณาธรรมอยู่ใน
กระท่อม เกิดฝนตกรั่วรดลงมาทางหลังคาที่มุงไม่ดี ท่านคิดเปรียบเทียบกับเรือนที่มุงไม่ดีว่าเหมือนกันกับจิตของบุคคลที่ไม่ได้
ฝึกฝนอบรมตน แล้วจึงกล่าวว่า “เรือนที่มุงไม่ดี ฝนย่อมตกรั่วรดได้ ฉันใด จิตที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรมตน ราคะก็ย่อมรั่วรดได้เช่นนั้น
เหมือนกัน หากเรือนที่มุงดีแล้ว ฝนตกรั่วรดไม่ได้ ฉันใด จิตที่บุคคลฝึกฝนอบรมตนไว้ดีแล้ว ราคะก็ย่อมรั่วรดไม่ได้เช่นนั้นเหมือน
กัน” และท่านยังเคยเป็นพุทธอุปัฏฐาก จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในด้านการมีปฏิภาณไหวพริบ

            ข้อควรจำ
            ท่านเป็นพระรูปแรกที่บวชด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ที่มีพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านยังเป็นพระหลวงตาที่
ว่านอนสอนง่าย

        พระปุณณมันตานีบุตรเถระ
         เอตทัคคะ : ธรรมกถึก


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            เดิมมีชื่อว่า “ปุณณะ” มารดาชื่อว่า “นางมันตานี” เกิดในวรรณะพราหมณ์ เป็นบุตรของน้องสาวของพระอัญญาโกณ
ฑัญญะ หมู่บ้านโทณวัตถุ ซึ่งไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์นัก
            ท่านได้รับการศึกษาและออกบวชเมื่อคราวที่พระอัญญาโกณฑัญญะเดินทางกลับมาบ้านเกิด หลังจากการจำพรรษาแรก
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วจึงกลับไปประกาศพระศาสนาที่บ้านเกิด จึงทำให้ท่านปุณณะมันตานีบุตรสังเกตเห็นกิริยาอาการ
ของหลวงลุงอยู่ตลอดเวลาว่ามีความเลื่อมใสศรัทธามาก จึงขอบวช พระอัญญาโกณฑัญญะ(หลวงลุง)จึงได้บวชให้ตามความประ
สงค์ทุกประการ

 
          ภาคการปฏิบัติ
            ครั้นบวชแล้ว ท่านก็มีความขยันหมั่นเพียรพยายามปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามที่หลวงลุงอบรมสั่งสอนไม่นาน ก็ได้
้บรรลุความเป็นพระอรหันต์


 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            หลังจากที่ท่านได้บรรลุอรหันต์แล้ว ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาอย่างมาก เช่นท่านได้สอน
เรื่องกถาวัตถุ ๑๐ ประการ ให้พระอานนท์ฟัง เมื่อคราวที่ท่านพระอานนท์บวชใหม่ๆ จนทำให้พระอานนท์บรรลุพระโสดาบัน

  กถาวัตถุ คือเรื่องที่ควรพูด ๑๐ ประการ คือ
  ๑. อัปปิจฉกถา เรื่องความมักน้อย
  ๒. สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ
  ๓. ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด
  ๔. อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
  ๕. วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร
  ๖. สีลกถา เรื่องศีล
  ๗. สมาธิกถา เรื่องสมาธิ
  ๘. ปัญญากถา เรื่องปัญญา
  ๙. วิมุตติกถา เรื่องความหลุดพ้น
  ๑๐.วิมุตติญาณทัสสนกถาเรื่องความรู้ความเห็นว่าหลุดพ้น 

            และ ท่านยังสอนเรื่องกถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ แก่กุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์อีก ๕๐๐ คน ไม่นานก็บรรลุความเป็นพระ
อรหันต์ เพราะฉะนั้น ชื่อเสียงของท่านจึงดังกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศ และท่านยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในด้านการแสดง
ธรรมเทศนา(ธรรมกถึก)

 
          ข้อควรจำ
            ท่านได้เป็นหลานและเป็นลูกศิษย์ของพระอัญญาโกณฑัญญะ
            ท่านเป็นผู้กล่าวเรื่องกถาวัตถุ ๑๐ ประการ
            ท่านเป็นผู้กล่าวหลักธรรมเรื่องวิสุทธิ ๗ ประการ
            ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในการแสดงธรรม (ธรรมกถึก)

        พระกาฬุทายีเถระ
         เอตทัคคะ : ทำสกุลที่ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส

            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            เดิมชื่อว่า “อุทายี” แต่เพราะท่านมีผิวดำ คนทั่วไปจึงเรียกว่า “กาฬุทายี” เป็นสหชาติและเพื่อนสนิทของพระพุทธเจ้า เกิดในวรรณะกษัตริย์ เป็นบุตรอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ และได้รับตำแหน่งเป็นมหาอำมาตย์ของพระพุทธเจ้าต่อจากบิดา
            เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะใคร่จะพบพระพุทธองค์ จึงได้
ส่งอำมาตย์หลายคนหลายคณะให้มาทูลเชิญกลับเมืองกบิลพัสดุ์ แต่เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็บรรลุเป็น
พระอรหันต์กันหมด และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุไม่ได้ทูลเชิญพระพุทธเจ้ากลับ


            ภาคการปฏิบัติ
            ส่วนท่านกาฬุทายีอำมาตย์ ก็เป็นทูตคณะที่ ๑๐ ที่พระเจ้าสุทโธทนะได้ส่งท่านไปพร้อมทั้งบริวารอีก ๑,๐๐๐ คนเพื่อ
ทูลเชิญพระพุทธเจ้ากลับเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัทที่วัด
เวฬุวันพอดี เมื่อท่านพร้อมกับบริวารได้ฟังธรรมเทศนาจบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลเชิญ
พระพุทธองค์กลับตามพระพุทธบิดาประสงค์

            ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านได้มีบทบาทอย่างสำคัญที่ทำให้เจ้าศากยะทั้งหลายหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และท่านก็ได้รับการยกย่อง
ว่าเป็นผู้เลิศทางทำให้ตระกูลเลื่อมใส

            ข้อควรจำ
            ท่านเป็นสหชาติของพระพุทธองค์
            ท่านได้พรรณนาหนทางจะเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ ๖๐ พระคาถา

        พระนันทเถระ
         เอตทัคคะ : ทางเป็นผู้คุ้มครองอินทรีย์

 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             พระนันทะ มีบิดาชื่อว่า “สุทโธทนะ” มีมารดาชื่อว่า “ปชาบดีโคตมี” เป็นพระอนุชาต่างมารดาของพระพุทธเจ้า มี
น้องสาวชื่อว่า “รูปนันทา”
             ท่านบวชในวันเดียวกับวันที่จะได้อภิเษกสมรสกับนางชนปทกัลยาณี คือหญิงงามประจำแคว้น เพราะความเกรงใจใน
พระทัยของพระพุทธเจ้า ที่ได้ให้บาตรแล้วจึงตามเสด็จไปจนถึงนิโครธาราม พระองค์ตรัสถามว่า “นันทะ เธอจะบวชหรือ” เพราะความเคารพในพระองค์ จึงรับปากว่า “จักบวช พระเจ้าข้า”

 
          ภาคการปฏิบัติ
            เมื่อบวชแล้ว ครั้งแรก ท่านก็ไม่อยากจะประพฤติธรรมเท่าที่ควร เพราะมีความคิดถึงนางชนปทกัลยาณีที่เสียงเรียก
ของนางให้กลับไปอภิเษกสมรสยังดังก้องหูอยู่ บอกว่าอยากจะสึก พระพุทธองค์เข้าใจความรู้สึกของท่านดี ไม่ได้ตรัสอะไรแต่
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนด้วยกลวิธีต่างๆ เช่น จับแขนท่านแล้วใช้พลังฤทธิ์พาเหาะไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเปรียบเทียบให้
ท่านเลือกเอาระหว่างนางฟ้ากับนางชนบทกัลยาณี ซึ่งพระนันทะกราบทูลตอบว่า “ระหว่างนางชนบทกัลยาณีกับนางฟ้า ๕๐๐ นาง เมื่อเทียบกันแล้ว นางชนบทกัลยาณีของข้าพระองค์ก็ไม่ต่างอะไรจากนางลิงบนตอไม้ที่ถูกไฟไหม้เลย” ท่านจึงมีความเปลี่ยน
ใจหันมาประพฤติพรหมจรรย์อย่างแข็งขัน เพราะต้องการนางฟ้ามาเชยชม และถูกพระทั้งหลายพากันเรียกท่านว่า “คนรับจ้าง” บ้าง “คนมีค่าไถ่” บ้าง และในไม่ช้า ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล และทันทีที่ได้บรรลุอรหัตผลนั้นท่านก็รู้แจ้งว่า ท่านได้เปลื้องตนออก
จากวาทะว่า “คนรับจ้าง” และ “คนมีค่าไถ่” ได้โดยสิ้นเชิง


 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            ไม่มีการกล่าวถึงว่าท่านได้มีบทบาทสำคัญในการประกาศพระศาสนา แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ท่านมีลักษณะล้ายกับพระ
พุทธเจ้ามาก แต่เตี้ยกว่าพระพุทธองค์เพียง ๔ นิ้วเท่านั้น และใช้จีวรขนาดเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า เวลาพระสาวกองค์อื่นๆ เห็นท่านเดินมาแต่ไกลๆ จึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า บางครั้งก็มีการเตรียมจัดแจงที่นั่งและลุกรับ เป็นต้น ข้อสังเกตนี้ ก็คง
จะเป็นเพราะท่านเป็นผู้มีบุคลิกที่สุขุมคัมภีรภาพที่สง่างามน่าเลื่อมใสศรัทธานั้นเอง

            ข้อควรจำ
            ท่านประสูติจากพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า
            ท่านเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า
            ท่านได้ออกบวชเมื่อวันอภิเษกสมรส
            ท่านมีลักษณะคล้ายกับพระพุทธเจ้า แต่ต่ำกว่าเพียง ๔ นิ้ว
            ท่านออกบวชเพราะความเกรงใจ (จำใจ)

        พระราหุลเถระ
         เอตทัคคะ : เป็นเอตทัคคะทางผู้ใคร่ต่อการศึกษา


 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            บิดามีชื่อว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ” มารดาชื่อว่า “พระนางยโสธรา(พิมพา)” มีพี่น้องต่างพระมารดา คือ “พระนันทะ กับ
พระนางรูปนันทา” ถ้าจะว่าตามภาษาสามัญแล้ว ท่านเป็นลูกกำพร้ามาตั้งแต่เกิด เพราะพระบิดาเสด็จออกบวชตั้งแต่วันที่ท่านเกิด
นั้นเอง
            ท่านได้ออกบวชเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จไปถึงเมืองกบิลพัสดุ์ได้เพียง ๗
วัน สาเหตุที่ท่านได้เข้าไปบวชนั้น ก็เพราะว่าเข้าไปทูลขอราชสมบัติจากพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบิดาตามคำชี้แนะของพระนาง
ยโสธราผู้เป็นมารดา พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ด้วยวิธีบวชแบบ “ติสรณคมนูป
สัมปทา” เพราะการให้อริยทรัพย์เป็นของประเสริฐและมีความยั่งยืนถาวร
 
          หลังจากที่ท่านบวชแล้ว เป็นผู้ที่ใคร่ต่อการศึกษามาก ครั้งหนึ่งท่านลุกขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วกอบเอาทรายเต็มกำมือแล้วตั้ง
จิตปรารถนาว่า ขอให้ได้รับคำแนะนำพร่ำสอนมากเท่ากับเมล็ดทรายจากพระพุทธเจ้าและจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านประ
พฤติปฏิบัติธรรมและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            ไม่มีกล่าวไว้ชัดเจนว่าท่านมีบทบาทอย่างไร ในการเผยแผ่พระศาสนา แต่ท่านมีวัตรปฏิบัติที่เลื่องลือมากอย่างน้อย ๒ ประการ ที่นอกเหนือจากการเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา คือ ๑.) ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย และ ๒.) การเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที
ต่อมารดา ซึ่งเป็นประเด็นที่นักเรียนนักศึกษานำมาเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี


 
          ข้อควรจำ
            ท่านเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา
            ท่านเป็นสามเณรด้วยวิธีไตรสรณคมน์ มีพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์
            ท่านเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
            ท่านเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
            ท่านมีความกตัญญูกตเวทีเป็นยอด
            ท่านนิพพานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก่อนพระพุทธเจ้าและพระสารีบุตร


        พระอุบาลีเถระ
         เอตทัคคะ : ผู้ทรงพระวินัย (วินัยธร)


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            มีชื่อว่า “อุบาลี” เป็นลูกของช่างตัดผม(ช่างกัลบก) เมื่อเติบโตขึ้นก็มีอาชีพเหมือนพ่อ มีหน้าที่แต่งพระเกสาถวายเจ้า
ชายภัททิยะ อนุรุทธะ ภคุ กิมพิละ อานนท์ และเทวทัต และท่านมีความจักรักภักดีต่อเจ้าชายทุกพระองค์ ประจำสำนักของเจ้า
ศากยะ
            พระพุทธเจ้าทรงให้ท่านอุบาลีบวชก่อนเจ้าชายศากยะทั้งหมด จุดประสงค์ก็เพื่อทำลายมานะของพวกเจ้าศากยะ และ
เจ้าศากยะเหล่านั้นจะต้องทำความเคารพยำเกรงในท่านผู้บวชก่อนด้วย เพราะอาวุโสกว่าเพื่อน
 
          เมื่อท่านได้บวชรุ่นเดียวกันกับเจ้าชายศากยะแล้ว ก็ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระพุทธเจ้า วันหนึ่งต้องการจะอยู่ตามลำพัง จึง
ได้กราบทูลลาแต่ก็ถูกปฏิเสธจากพระพุทธองค์ด้วยเหตุผลว่า “อุบาลี หากไปอยู่ตามลำพัง เธอจักเจริญวิปัสสนาธุระอย่างเดียว แต่
ถ้าอยู่ในสำนักของเราตถาคต เธอจักเจริญทั้งวิปัสสนาธุระ(เน้นการปฏิบัติ) และคันถธุระ(เน้นวิชาการด้วย) การที่พระพุทธองค์
์ตรัสอย่างนี้ก็เพราะว่าในอนาคตท่านอุบาลีจะเป็นกำลังสำคัญ ในการทำสังคายนา(การร้อยกรองพระธรรมวินัย) ครั้งแรก (ปฐม
สังคายนา)

 
           ภาคการปฏิบัติ
             เมื่อท่านได้ศึกษาเรียนรู้ทั้งภาคปริยัติ(วิชาการ)และภาคปฏิบัติ(ลงมือปฏิบัติจริง)ควบคู่กันไป ตามที่พระพุทธองค์
ทรงตรัสสอนแล้วอย่างกว้างขวาง ไม่นานนัก ท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านมีเกียรติประวัติและบทบาทในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ดำรงตั้งมั่นจนถึงปัจจุบัน และท่านมีความเชี่ยว
ชาญเป็นพิเศษในเรื่องของพระวันัย และมีผลงานที่ชัดเจนที่สุดอย่างน้อย ๓ ประการด้วยกันคือ ๑.) การวินิจฉัยอธิกรณ์(การตัด
สินคดีต่างๆ) ๒.) การวิสัชนา(ตอบปัญหา)พระวินัยในคราวทำปฐมสังคายนา และ ๓.) การสร้างผู้สืบทอดศาสนทายาท ซึ่งลูก
ศิษย์ที่สำคัญของท่านในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ จนสำเร็จด้วยดี ก็คือพระโมคคลีบุตรติสสเถระเจ้า ที่ท่านได้ถ่ายทอดเกี่ยวกับ
ความรู้ความสามารถในด้านพระวินัยเป็นอย่างดี

             ข้อควรจำ
             ท่านถึงเป็นช่างกัลบกก็ได้บวชก่อนเจ้าชายทั้งหมด เพราะต้องการทำลายทิฐิของพวกเจ้าชายศากยะนั้นเอง
             ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศในด้านพระวินัย
             ท่านเป็นกำลังสำคัญในการทำสังคายนาครั้งแรก(ปฐมสังคายนา)

         พระภัททิยเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางผู้เกิดในตระกูลสูง


             ภาคชีวประวัติก และการศึกษา
             ท่านภัททิยะเป็นโอรสของพระนางกาฬิโคธา เกิดในวรรณกษัตริย์ ตระกูลศากยะ ในกรุงกบิลพัสดุ์
             ท่านได้ครองราชสมบัติไม่นานก็สละเสีย เพราะความเบื่อหน่ายและมีความยุ่งยากลำบากในการทำไร่ไถ่นา ต่อมาจึง
ได้พากันชักชวนกันเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อทูลขอบวชโดยมีช่างกัลบกคือท่านอุบาลีติดตามไปด้วย และอนุญาตให้ท่านอุ
บาลีบวชก่อน โดยให้เหตุผลว่า “พวกข้าพระองค์เป็นเจ้าชายเชื้อสายศากยะถือตัวจัด อุาลีนี้ก็รับใช้พวกข้าพระองค์มานาน ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดบวชให้เขาก่อนเถิด พวกข้าพระองค์จักได้ไหว้เขาได้ ด้วยวิธีการอย่างนี้จะช่วยให้พวกข้าพระองค์ลดความถือตัวลง พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ทรงอนุญาต และบวชให้ทุกท่านด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”

              ภาคการปฏิบัติ
              เมื่อท่านบวชแล้ว ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการปลีกตัวจากหมู่คณะเข้าไปอยู่ป่าตามลำพัง ขยัน
หมั่นเพียรเจริญกรรมัฏฐานไม่นาน ก็บรรลุพระอรหันต์ตามที่ตนปรารถนา
              หลังจากที่ท่านได้รับความสุขอันเกิดจากมรรคผลแล้ว ท่านมักชอบเปล่งอุทานบ่อยๆ ว่า “สุขหนอๆ” เพราะท่านได้
้รับความสงบสุขอันเกิดจากศีล สมาธิปัญญาและความหลุดพ้นจากกิเสลทั้งหลาย และท่านได้รับยกย่องในตำแหน่งสูงสุดว่า “เป็น
ผู้เกิดในตระกูลสูง หรือสุขุมาลชาติ” นั้นเอง

             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ไม่ปรากฏชัดเจนว่าท่านมีผลงานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

             ข้อควรจำ
             ท่านออาบวชเพราะเพื่อนขอร้อง
             ท่านออกบวชพร้อมกับเพื่อนอีก ๕ ท่านคืออนุรุทธะ อานนท์ กิมพิละ เทวทัต และอุบาลี
             ท่านบวชที่อนุปิยนิคม แคว้นมัลละ
             ท่านได้รับยกย่องว่า เป็นผู้เกิดในตระกูลสูง

         พระอนุรุทธเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางผู้มีทิพยจักษุ(ตาทิพย์)

 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             ท่านเป็นเจ้าชายในตระกูลศากยวงศ์องค์หนึ่ง มีพระบิดาชื่อว่า “อมิโตทนะ” ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ มีพี่น้อง ๓ คน คือมหานามะ อนุรุทธะ และนางโรหิณี ชีวิตฆราวาสของท่านเต็มไปด้วยความอบอุ่น เนื่องจากมารดาทรงดูแลเอา
ใจใส่เป็นอย่างดี
             ท่านได้ออกบวชร่วมกับเจ้าชายศากยวงศ์อีก ๔ องค์ คืออานนท์ ภัททิยะ ภคุ กิมพิละ เทวทัตต์(โกลิยวงศ์) และอุบาลี

 
          ภาคการปฏิบัติ
            ท่านบวชไม่นานก็ได้บรรลุทิพจักขุญาณ(ความรู้ที่ทำให้เกิดตาทิพย์) จากนั้นท่านก็เรียนกรรมฐานจากพระสารีบุตรแล้ว
ลาไปบำเพ็ญสมณธรรมที่ป่าจีนวังสทายวัน ในแคว้นเจตี ขณะที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า ท่านตรึกมหาปุริสวิตก(ความตรึกของบุค
คลผู้ยิ่งใหญ่) ได้ถึง ๗ ข้อดังนี้

            ๑. ธรรมนี้(ศาสนานี้) เป็นของผู้มักน้อย ไม่ใช่ของผู้มักมาก
            ๒. ธรรมนี้เป็นของผู้สันโดษ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
            ๓. ธรรมนี้เป็นของผู้สงัด ไม่ใช่ของผู้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
            ๔. ธรรมนี้เป็นของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
            ๕. ธรรมนี้เป็นของผู้มีสติมั่นคง ไม่ใช่ของผู้หลงลืมสติ
            ๖. ธรรมนี้เป็นของผู้มีจิตมั่นคง ไม่ใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคง
            ๗. ธรรมนี้เป็นของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้ทรามปัญญา
            ๘. ธรรมนี้เป็นของผู้ยินดีในธรรมไม่เนินช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนินช้า
            ท่านได้พิจารณาตามไม่นานก็บรรลุความเป็นพระอรหันต์


            ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยเฉพาะเป็นที่เคารพของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
เพราะท่านได้บรรลุทิพจักษุ(ตาทิพย์)และมีการติดต่อสื่อสารกับเทวดาอยู่เนื่องๆ ท่านได้เป็นอาจารย์ของหมู่คณะมีสัทธิวิหาริก
และอันเตวาสิกเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับพระมหาสาวกองค์อื่นๆ และสุดท้ายปลายชีวิตท่านนิพพานที่ใต้กอไผ่ ใกล้หมู่บ้านเวฬ
วะแคว้นวัชชี ขณะนั้นท่านมีอายุใกล้เคียงกับพระอานนท์ และอ่อนกว่าเพียงเล็กน้อย


            ข้อควรจำ
            ท่านเป็นผู้ไปขอให้พระเจ้าภัททิยะบวชเป็นเพื่อน
            ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางมีตาทิพย์
            ท่านชอบระลึกถึงมหาปุริสวิตก ๗-๘ อย่างอยู่เสมอ


 
       พระอานนท์เถระ
          เอตทัคคะ : ทางด้านพหูสุต มีสติ มีคติ มีธิติ และเป็นพุทธอุปัฏฐาก


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            บิดาชื่อว่า “สุกโกทนะ” มารดาชื่อว่า “กีสาโคตมี” มีฐานะเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า มีพระสหายสนิท คือ เจ้าชาย
ภัททิยะ อนุรุทธะ ภคุ กิมพิละ เทวทัตแห่งเมืองเทวทหะด้วย แต่ท่านพิเศษกว่าตรงที่เป็นสหชาต(ผู้เกิดพร้อมกัน)ของพระพุทธ
เจ้า
            ท่านออกบวชพร้อมกับภัททิยะ อนุรุทธะ ภคุ กิมพิละ เทวทัต และอุบาลี ที่อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ มูลเหตุที่ทำให้
ท่านบวช เพราะเป็นจังหวะที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระประยุรญาติ จึงปรึกษากันแล้วพร้อมใจกันบวชตามเป็นจำนวนมาก

 
          ภาคการปฏิบัติ
            ท่านได้บรรลุธรรมช้ากว่าเจ้าชายศากยะ เพราะว่าท่านไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เนื่องจากต้องขวนขวายอยู่กับการอุปัฏฐาก
พระพุทธเจ้า ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะได้ฟังธรรมของพระปุณณมันตานีบุตร และได้บรรลุพระอรหันต์เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี ก่อนมีการทำปฐมสังคายนา(สังคายนาครั้งที่ ๑) ภายหลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๓ เดือน รวมเวลา
ที่ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันอยู่นานถึง ๔๒ ปี

            ท่านบรรลุพระอรหันต์แปลกกว่าสาวกองค์อื่นๆ คือไม่อยู่ในอิริยาบถทั้ง ๔ ได้แก่ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนเตียงแล้วจึงค่อย
เปลี่ยนการเอนกายลงด้วยตั้งใจว่า จักนอนพักผ่อนสักครู่หนึ่ง พอยกเท้าพ้นจากพื้นแต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน ระหว่างนี้เองจิต
ของท่านก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะคลายความยึดมั่นลงได้ ท่านองค์เดียวเท่านั้นที่บรรลุพระอรหันต์ที่ไม่อยู่ในอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน และหลังจากบรรลุพระอรหันต์แล้วไม่นานก็รุ่งเช้า เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ ขณะที่พระสงฆ์ ๔๙๙ องค์ ได้เข้าไปนั่งรอท่านอยู่ในมณฑปที่ถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภาระ เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนั้น ท่านก็ได้แสดงฤทธิ์ให้ปรา
กฏเพื่อประกาศให้คณะสงฆ์ได้ทราบว่าท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ด้วยการดำดินแล้วไปโผล่ขึ้นตรงอาสนะที่จัดเตรีมไว้ให้
ท่านนั่ง จากนั้นการทำสังคายนาจึงได้เริ่มขึ้น

            ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านได้มีบทบาทอย่างมากในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาและรักษาปกป้องพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
ถาวรจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพอจะสรุปผลงานของท่านได้ดังนี้
            ๑.) ทรงจำธรรมไว้ได้มาก คือได้รับยกย่องว่าเป็นพหูสูต สาเหตุที่ทำให้ท่านได้ชื่อว่า เป็นพหูสูต ก็เพราะพร ๑ ใน ๘
ข้อที่ท่านได้ทูลขอต่อพระพุทธเจ้าก่อนเข้ารับตำแหน่งพุทธอุปัฏฐากนั้นเอง
            ๒.) การขวนขวายเพื่อสิทธิสตรี สาเหตุเพราะท่านได้ช่วยให้พระนางปชาบดีโคตมีพระน้านางได้พาเจ้าหญิงศากยะจำนวน ๕๐๐ นางมาทูลขอบวชกับพระพุทธองค์สำเร็จนั้นเอง
            ๓.) การช่วยระงับความแตกร้าวในพุทธจักร สาเหตุเพราะพระภิกษุวินัยธรกับธรรมธรชาวเมืองโกสัมพีเกิดวิวาทกันจน
ถึงขั้นแตกร้าวแล้วขอร้องให้ท่านช่วยพาไปขอขมาพระพุทธองค์จนสำเร็จนั้นเอง
 
          ๔.) การวิสัชนาพระธรรมในคราวทำปฐมสังคายนาจนสำเร็จนั้นเอง
            ๕.) การสร้างผู้สืบทอดศาสนทายาท คือท่านได้เป็นหัวหน้าอบรมสั่งสอนสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเป็นจำนวนมาก
จากท่าน ที่ปรากฏชื่อ คือพระสัพพกามีและพระยสกากัณฑบุตร เป็นต้น ซึ่งศิษย์เหล่านี้ได้มามีบทบาทสำคัญในการทำสังคายนา
ครั้งที่ ๒ จนสำเร็จนั้นเอง
 
          ๖.) การเดินทางออกเยี่ยมพระสงฆ์ในวัดวาอารามต่าง ๆ หลังที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว ซึ่งพุทธบริษัททั้ง ๔ ถือ
ว่าท่านนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเอง
 
          บั้นปลายชีวิต ท่านมีอายุถึง ๑๒๐ ปี จึงปรินิพพานในอากาศ เหนือแม่น้ำโรหิณี ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างพระญาติทั้ง
สองฝ่าย คือ เจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ

 
        พระโสณโกฬิวิสเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางปรารภความเพียร


 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            เดิมชื่อว่า “โสณะ” แปลว่า ทองคำ เพราะมีผิวพรรณสวยงามมาตั้งแต่เกิด ส่วนโกฬิวิส เป็นชื่อโคตร บิดาชื่อว่า “อุสภ
เศรษฐี” เกิดในวรรณไวศยะ(แพศย์) ตระกูลเศรษฐี ในเมืองจัมปา แคว้นอังคะ

            ท่านเป็นคนสุขุมาลชาติ คือฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีสีแดงดังดอกชบา โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านั้นมีขนอ่อนสีเขียวเหมือน
แก้วมณีงอกขึ้น ซึ่งมองดูแปลกกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้น ท่านยังเป็นคนรักการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ และดนตรีที่ถนัดที่สุดคือ
การดีดพิณ ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์จึงรับสั่งให้โสณะโกฬิวิสะเข้าเฝ้า เพื่อทอดพระเนตรฝ่าเท้าที่แปลกประ
หลาดของเขา
            
            ภาคการปฏิบัติ
            ท่านตัดสินใจออกบวช เมื่อคราวที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรก ด้วยการฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จึงเกิดความ
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงตัดสินใจทูลขอบวชต่อพระพุทธองค์
            เมื่อท่านบวชแล้ว ได้ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าสีตวัน เขตเมืองราชคฤห์ ได้ทำความเพียรอย่างมากด้วยการเดิน
จงกรมจนเท้าแตกและเปลี่ยนมาเป็นการใช้เข่าเดินและใช้มือยัน จนในที่สุดทั้งเข่าและมือก็แตกอีก ก็ยังไม่บรรลุมรรคผล ต่อมา
พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุ จึงตรัสสอนให้ปรับอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกันด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา อย่าให้ตึงเกิน
ไปและหย่อนเกินไปอุปมาการดีดพิณ ๓ สาย
            ท่านได้เป็นต้นเหตุที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้สวมร้องเท้าชั้นเดียวได้ พร้อมกับการขออนุญาตให้พระสงฆ์รูปอื่นๆ ด้วย ท่านปฏิบัติตามไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่าสีตวันนั้นเอง

         พระรัฐบาล
         เอตทัคคะ : ในทางผู้บวชด้วยศรัทธา


 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            ท่านชื่อว่า “รัฐบาล” แปลว่า ผู้รักษาแว่นแคว้น บิดาของท่านเป็นเศรษฐีเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เกิดในวรรณไวศยะ(แพศย์) ในถุลลโกฎฐิตนิคม แคว้นกุรุ

            ท่านได้ฟังธรรมเทศนาในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังถุลลโกฎฐิตนิคมแคว้นกุรุ อันเป็นบ้านเกิดของท่าน เกิดความ
เลื่อมใสศรัทธาปรารถนาจะบวช แต่พระพุทธองค์ให้ไปขออนุญาตจากบิดามารดาก่อน เมื่อท่านทั้งสองไม่อนุญาตกลัวสกุลวงศ์จัก
ขาดสูญ เพราะมีลูกชายอยู่คนเดียว ท่านจึงทรมานตนเองด้วยการนอนอดข้าวอยู่ในห้องนอน แม้บิดามารดาให้เพื่อนๆ มาช่วย
เกลี้ยกล่อมก็ไม่ยอม สุดท้ายกลัวลูกตายจึงจำใจยอมอนุญาตให้ท่านบวชได้ อย่างน้อยก็ยังได้เห็นหน้ากันอยู่แม้จะบวชพระแล้วก็
ตาม
 
          พอท่านทราบว่าบิดามารดาอนุญาตเท่านั้นแหละ ท่านรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและทานข้าวรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่าง
รวดเร็ว พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระเถระท่านหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ท่านตามความปรารถนา

 
          ภาคการปฏิบัติ
            ครั้นบวชประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ถึง ๑๒ ปี จึงได้บรรลุเป็นอรหันต์ การที่ท่านบรรลุธรรมช้า เพราะว่ามีความวิตกกัง
วลเกี่ยวกับทางบ้าน เนื่องจากท่านบวชโดยบิดามารดาไม่เต็มใจ จึงทำให้จิตใจของท่านนั้นไม่มีความสงบ


 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว ก็กลับไปยังบ้านเกิด เพื่อไปโปรดโยมบิดามารดาให้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และ
ท่านยังได้แสดงธรรมโปรดพระเจ้ารัพยะจนมีความเข้าใจและเลื่อมใส พร้อมทั้งตรัสชมเชยท่านเป็นอย่างมากด้วยว่า ขณะที่ท่าน
เป็นฆราวาสก็ช่วยเหลือสังคมไว้มาก แม้บวชแล้วก็ยังมาแสดงธรรมโปรดญาติโยมให้เห็นสัจจธรรมอีก ต่อมาท่านก็ได้นิพพาน
หลังพระพุทธเจ้า

         พระปิณโฑลภารทวาชเถระ
         เอตทัคคะ : ในทางผู้บันลือสีหนาท


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
           “ปิณโฑลภารทวาช” แปลว่า ภารทวาชะผู้แสวงหาก้อนข้าว คือเป็นคนกินจุนั้นเอง
            ท่านได้เรียนจบไตรเพท และได้เป็นอาจารย์สอนศิษย์เป็นจำนวนมาก สาเหตุที่ท่านออกบวช เพราะได้ฟังธรรมเทศนา
ของพระพุทธองค์ แล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงขอบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วย “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หลังจากบวชแล้ว ท่านได้เที่ยวบิณฑบาตโดยไม่รู้จักประมาณ พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริง จึงทรงใช้อุบายให้ท่านรู้จักประมาณในการรับและ
การฉัน ท่านมีความเข้าใจตามคำตรัสก็เกิดความสลดใจ

 
          ภาคการปฏิบัติ
            เมื่อท่านบวชแล้ว จึงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา
และชอบเปล่งวาจาว่า “ผู้ใด ความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ผลก็ดี ขอผู้นั้นจงมาถามข้าพเจ้าเถิด” ดังนั้น ท่านจึงได้รับการ
ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางผู้บันลือสีหนาท


 
          ภาคการประกาศพระศาสนา
            หลังจากท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาไว้มากมากด้วยกัน เช่น ท่านได้รับคำท้าการประ
ลองฤทธิ์ ด้วยเหตุที่ว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งอยู่ในเมืองราชคฤห์ ได้ประกาศว่า ถ้าในโลกนี้มีพระอรหันต์จริง ก็ขอให้เหาะขึ้นไปรับเอา
บาตรที่ตนทำด้วยไม้จันทน์สูงประมาณ ๘ ชั่วลำตาลได้ ตนเองพร้อมทั้งบุตรธิดาก็จะขอเป็นทาสรับใช้และนับถือตลอดชีวิต ซึ่ง
ท่านก็ได้เข้าฌานแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปรับบาตรตามเจตนาของเศรษฐีทุกประการ และช่วยเพื่อนให้เป็นสัมมาทิฐิด้วยการแนะนำ
ได้เห็นถึงประโยชน์และอานิสงส์ของการให้ทานจนสำเร็จ และได้แสดงธรรมโปรดพระเจ้าอุเทน ที่เมืองโกสัมพี เกี่ยวกับเรื่องที่มี
พระหนุ่มสามเณรน้อยอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต ก็เพราะการศึกษาเหล่าเรียนและปฏิบัติตามคำสั่ง
สอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการสำรวมระวังในขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และความ
นึกคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ให้มีความยึดมั่นถือมั่นนั้นเอง จนทำให้พระเจ้าอุเทนทรงเข้าพระทัยในวิถีชีวิตของพระภิกษุหนุ่มสาม
เณรน้อยยิ่งขึ้น แล้วเกิดความเลื่อมใสประกาศพระองค์มานับถือพระพุทธศาสนา


            ข้อควรจำ
            ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางผู้บันลือสีหนาท
            ท่านบวชอยู่ที่กรุงราชคฤห์
            ท่านเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย สติ สมาธิ และปัญญา


         พระมหาปันถกเถระ
         เอตทัคคะ : ในทางเจริญวิปัสสนา

 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             มารดาเป็นธิดาของเศรษฐี มีน้องชายชื่อว่า “จูฬปันถก” เกิดในตระกูลจัณฑาล เนื่องจากบิดามารดาเป็นคนต่างวรรณะ
กัน คือบิดาเป็นคนวรรณะศูทร ส่วนมารดาเป็นคนวรรณไวศยะ(แพศย์) ในเมืองราชคฤห์
             ตั้งแต่เล็กๆ ท่านถูกส่งไปอยู่กับคุณตา และคุณตาก็พาหลานไปวันฟังธรรมที่วัดเวฬุวันบ่อยๆ แม้คุณตาจะรังเกียจมาร
ดาที่เป็นวรรณะศูทรก็ตาม แต่ก็รักหลานทั้ง ๒ มาก บางครั้งท่านก็มีความรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกคนอื่นเรียกว่า “ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่” ต่อมาพระพุทธองค์จึงขอท่านจากเศรษฐีเพื่อบวช ผู้เป็นตาก็อนุญาตให้บวชเป็นสามเณรก่อนเพราะอายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี เมื่ออายุ
ครบจึงอุปสมบท
             การที่เศรษฐี(คุณตา)อนุญาตให้บวชง่ายดายก็เพราะว่าจะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยลดปมด้อยของหลานชายที่มัก
ถูกเรียกว่า “ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่” ลงได้นั้นเอง                 

             ภาคการปฏิบัติ
             หลังจากที่ท่านบวชแล้วก็ได้เจริญโยนิโสมนสิการ คือการกำหนดนามรูปเป็นอารมณ์ จนได้บรรลุฌานอภิญญา แล้ว
เจริญวิปัสสนาต่อ ไม่นานนักก็บรรลุความเป็นพระอรหันต์ และท่านได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศในปัญญาวิมุติ(วิปัสสนา)

             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านไม่มีประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ชัดเจน

            ข้อควรจำ
            ท่านถูกกล่าวว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่เพราะเกิดจากพ่อแม่ต่างวรรณะกัน
            ท่านเป็นผู้ชำนาญในการเข้าฌานอภิญญา
            ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศในการเจริญวิปัสสนา


         พระจูฬปันถกเถระ
         เอตทัคคะ : ในทางมโนมยิทธิ (เจโตวิวัฎฎ์-ฤทธิ์ทางใจ)


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            เดิมชื่อว่า “ปันถกะ” แปลว่า “ทาง” เพราะมารดาได้คลอดในระหว่างเดินทางกลับจากเมืองราชคฤห์ ท่านเป็นบุตรคนที่
สอง จึงได้คำนำหน้าว่า “จูฬปันถกะ” แปลว่า “ทางเล็ก” ส่วนพี่ชายของท่านมีชื่อว่า “มหาปันถกะ” แปลว่า “ทางใหญ่”
            บิดาของท่านเกิดในวรรณะศูทร ไม่ปรากฎนาม ส่วนมารดาเป็นลูกสาวเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ เป็นคนวรรณะแพศย์ หรือ ไวศยะ ต่อมาทั้งสองได้เกิดความรักต่อกัน จึงได้หนีออกจากบ้านไปอยู่ในป่า ซึ่งไกลจากเมืองราชคฤห์ และได้กำเนิดบุตรชาย
สองคน คือ มหาปันถกะ และจูฬปันถกะ
 
          บิดามารดาจึงได้นำลูกทั้งสองไปให้เศรษฐีเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นตากับยายเลี้ยงดู แต่ด้วยการที่ท่านเศรษฐีมีจิตเลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนา ได้พาเด็กทั้งสองไปฟังธรรมที่วัดด้วยเป็นประจำ เด็กทั้งสองจึงมีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้ขอ
อนุญาตตากับยายบรรพชา ท่านได้อนุญาตให้มหาปันถกะบวชได้ ส่วนจูฬปันถกะยังไม่อนุญาตให้บวช เพราะยังเด็ก จึงให้อยู่กับ
ตายายไปก่อน

            ภาคการปฏิบัติ
            หลังจากมหาปันถกะผู้เป็นพี่ชายได้บวชในพระพุทธศาสนา และได้บรรลุพระอรหันต์แล้วได้นึกถึงจูฬปันถกะผู้เป็นน้อง
ชาย ใคร่จะให้น้องชายของตนได้พบกับความสุขอันเกิดจากมรรคผลนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา จึงได้ไป
ขออนุญาตธนเศรษฐีผู้เป็นตาให้จูฬปันถกะได้บวช ซึ่งเศรษฐีก็ยินดีอนุญาตให้บวชตามที่ขอ
 
          หลังจากจูฬปันถกะได้บวชแล้ว มหาปันถกะผู้เป็นพี่ชายได้พยายามอบรมสั่งสอน แต่ท่านมีปัญญาทึบจำอะไรไม่ค่อยได้ โดยที่สุด พระพี่ชายให้ท่านท่องคาถา ๔ บท ใช้เวลา ๔ เดือนยังท่องไม่ได้ ท่านจึงเกิดความเสียใจ คิดจะลาสิกขา จึงได้เดินร้อง
ไห้ออกจากวัด
 
          ในขณะนั้น พระศาสดาทรงทราบเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอด จึงได้เสด็จไปเพื่อห้ามการลาสิกขาของพระจูฬปันถกะ แล้วได้ประทานผ้าขาวผืนหนึ่งให้ แล้วตรัสสอนให้บริกรรมว่า “ระโชหะระณัง ระโชหะระณัง(ผ้าเช็ดธุลี)” พร้อมกับลูบผ้านั้นไป
ด้วย ไม่นานนักผ้าขาวผืนนั้นก็ค่อยๆ หมองคล้ำไปจนเห็นเป็นสีดำ ท่านจึงพิจารณาเห็นว่า แม้ผ้าขาวบริสุทธิ์อาศัยร่างกายของ
มนุษย์ ยังต้องกลายเป็นสีดำอย่างนี้ ถึงจิตของมนุษย์ เดิมทีเป็นของบริสุทธิ์ อาศัยกิเลสจรมาก็ย่อมเกิดความเศร้าหมอง เหมือนกับ
ผ้าผืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้ ท่านบริกรรมผ้านั้นไปจนจิตสงบแล้วได้บรรลุฌาน แล้วได้เจริญวิปัสสนาต่อก็
ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญา

 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             หลังจากที่ท่านบรรลุพระอรหันต์ใหม่ๆ นั้น ท่านได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้คนใช้ของหมอชีวกได้ประจักษ์ด้วยสายตาตน
เอง ดังเรื่องที่ท่านเนรมิตรภิกษุเป็นพันรูป ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน เมื่อคนใช้ที่หมอชีวกมานิมนต์ท่านแล้ว ถามว่า “พระรูป
ไหนชื่อจูฬปันถกะ” ทั้งพันรูปก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาตมาชื่อจูฬปันถกะ” ในที่สุดพระศาสดาทรงแนะนำวิธีให้ว่า รูปไหน
พูดก่อนว่า “อาตมาชื่อจูฬปันถกะ” ให้จับมือภิกษุรูปนั้น คนใช้ของหมอชีวกก็ได้ทำตามนั้น ด้วยเหตุนี้เอง พระศาสดาจึงทรงยก
ย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านผู้เนรมิตกายอันสำเร็จด้วยฤทธิ์และผู้พลิกแพลงจิต

             พระจูฬปันถกเถระเมื่อได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้พิจารณาถึงธรรมที่ตนเองบรรลุ แล้วได้เกิดปีติเปล่งอุทานว่า “เมื่อ
ก่อนญาณคติ(ปัญญา)ของเราเกิดช้าไป จึงถูกใครๆ เขาดูหมิ่น พระพี่ชายก็ขับไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน เรานั้นเสียใจไปยืนร้องไห้อยู่ที่
ี่ซุ้มประตูสังฆาราม เพราะความอาลัยในพระพุทธศาสนา พระศาสดาทรงประทานผ้าให้แก่เราแล้วตรัสว่า “เธอจงภาวนาให้ดี” เรารับพระดำรัสของพระชินสีห์ ยินดีในพระพุทธศาสนา ภาวนาสมาธิเพื่อเป็นพื้นฐานการบรรลุประโยชน์อันสูงสุด จึงได้บรรลุ
ุวิชชา ๓ ตามลำดับ
 
           ท่านได้ช่วยพระศาสดาประกาศพระศาสนาตามความสามารถมาโดยตลอดจนได้นิพพานดับสังขาร

          พระโสณกุฏิกัณณเถระ
          เอตทัคคะ : ในการแสดงธรรมด้วยคำไพเราะ

             ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             เดิมชื่อว่า “โสณะ” แต่เพราะมีเครื่องประดับหูมีราคาถึงหนึ่งโกฏิ จึงมีคำต่อท้ายว่า “โสณกุฏิกัณณะ” บิดาไม่ปรากฎ
นาม ส่วนมารดาเป็นอุบาสิกามีนามว่า “กาฬี” เป็นพระโสดาบัน และเป็นผู้ถวายความอุปถัมภ์บำรุงพระมหากัจจายนะ ท่านเกิดใน
ตระกูลคฤหบดี เป็นวรรณะแพศย์ ในเมืองกุรุรฆระ แคว้นอวันตี ก่อนบวชท่านได้ประกอบอาชีพค้าขาย

             ภาคการปฏิบัติ
             เนื่องจากมารดาของท่านเป็นผู้อุปัฏฐากพระมหากัจจายนะ เวลาไปวัดจึงได้พาบุตรชายชื่อโสณะไปด้วย จึงทำให้มี
ความรู้จักและคุ้นเคยกับพระเถระมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต่อมาครั้นเจริญวัยมีศรัทธาเลื่อมใสใคร่จะบวชในพระพุทธศาสนา จึงขอ
บรรพชาอุปสมบทกับพระเถระ โดยท่านก็อธิบายให้ฟังว่า การบวชนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก มีความลำบากมาก แต่เขาก็ยืนยันจะ
บวชให้ได้ พระเถระจึงบวชให้ท่านเป็นสามเณรก่อน เพราะในอวันตีชนบทหาพระครบองค์สงฆ์ ๑๐ องค์ไม่ได้ ท่านบวชเป็น
สามเณรอยู่ ๓ ปี จึงได้พระครบ ๑๐ องค์ แล้วได้อุปสมบทเป็นภิกษุ
 
           หลังจากพระโสณะกุฏิกัณณะได้บวชแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในสำนักของพระอุปัชฌาย์ พากเพียรบำเพ็ญภาว
นา ในไม่ช้าท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นพระขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์

             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ครั้นท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว เนื้องจากท่านไม่เคยเห็นพระศาสดา ปรารถนาจะเข้าเฝ้า จึงได้ลาพระอุปัชฌาย์ เมื่อ
ได้รับอนุญาตและได้ฝากไปทูลผ่อนผันเรื่องพระวินัย ๕ ประการ สำหรับปัจจันตชนบท เช่น การอุปสมบทด้วยคณะปัญจกะคือมี
ีภิกษุประชุมกัน ๕ รูป จึงบวชกุลบุตรได้ เป็นต้น ท่านก็ได้ทูลขอตามนั้น และพระศาสดาก็ทรงอนุญาตตามที่ท่านขอทุกประการ
             เมื่อท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ก็ได้รับการตอนรับเป็นอย่างดี โดยทรงอนุญาตให้พักในพระคันธกุฏีเดียวกับพระพุทธ
องค์ และทรงโปรดให้ท่านแสดงธรรมทำนองสรภัญญะ เมื่อจบการแสดงธรรม พระพุทธองค์ก็ทรงอนุโมทนาและชมเชยท่านว่า กล่าวธรรมได้ไพเราะ ท่านได้พักอยู่ที่นั้นพอสมควรแล้วจึงได้ทูลลา

             เมื่อท่านมีความสามารถในการแสดงธรรมแบบสรภัญญะด้วยเสียงอันไพเราะต่อพระพักตร์ของพระศาสดา ท่านจึง
ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้แสดงธรรมด้วยถ้อยคำอันไพเราะ
 
           แม้การได้รับเอตทัคคะในด้านนี้ พระโสณกุฎิกัณณเถระเอง ก็ได้สร้างบารมีตั้งจิตปรารถนามาตั้งแต่อดีตชาติแล้ว
 
           ท่านพระโสณกุฎิกัณณเถระนี้ ได้ช่วยประกาศพระศาสนาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ในที่สุดก็นิพพานดับเบญจขันธ์
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

          พระลกุณฎกภัททิยเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางผู้มีเสียงไพเราะ


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              เดิมท่านชื่อว่า “ภัททิยะ” แต่เพราะท่านมีร่างกายเตี้ยและเล็ก จึงเรียกว่า “ลกุณฎกภัททิยะ (ลกุณฎกะ แปลว่า เล็ก,
เตี้ย)” บิดามารดาของท่านไม่ปรากฎชื่อ เป็นคนวรรณะแพศย์ มีทรัพย์มาก เป็นชาวเมืองสาวัตถี ในสมัยก่อนบวชท่านได้รับการ
เลี้ยงดู และการศึกษาอย่างดีตามที่จะหาและทำได้ในสมัยนั้น

             ภาคการปฏิบัติ
             เมื่อสมัยที่พระศาสดาประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน แสดงธรรมโปรดมหาชนอยู่ ในวันนั้น ลกุณฎกภัททิยะ ได้มีโอ
กาสไปฟังธรรมเทศนา จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสใคร่จะบวชในพระพุทธศาสนา จึงทูลขอบวชกับพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงให้
ไปขออนุญาตบิดามารดาก่อน แล้วก็บวชให้ตามความประสงค์
             เมื่อท่านได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้เรียนกรรมฐานพากเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนาใช้ปัญญาพิจารณาสังขาร
โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหันต

             ภาคการประกาศพระศาสนา
             พระลกุณฎกภัททิยะ แม้ร่างกายของท่านจะเล็กมาก แต่ท่านก็มีสติปัญญา และความพากเพียรปฏิบัติตามคำสอนของ
พระศาสดาจนสามารถบรรลุมรรคผลได้ ภิกษุทั้งหลายที่ไม่รู้จักท่านมาเฝ้าพระศาสดา คิดว่าเป็นสามเณร บ้างก็ล้อเล่น ลูบศีรษะ จับใบหู ถามว่า “พ่อเณรยังไม่กระสันอยากสึกดอกหรือ” ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอเข้าไปเฝ้าพระศาสดาถูกตรัสถามว่า “ก่อนเข้ามา พบ
พระเถระไหม? จึงพากันทูลว่าไม่พบ พบแต่สามเณรตัวน้อยๆ พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “นั่นเป็นพระเถระ ไม่ใช่สามเณร” จึงทูลว่า “ท่านตัวเล็กเหลือเกินพระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า เราไม่เรียกภิกษุว่าเป็นเถระ เพราะเขาเป็นคนแก่ นั่งบนอาสนะของ
พระเถระ ส่วนผู้ใดบรรลุสัจจะทั้งหลาย ตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียนมหาชน ผู้นี้ชื่อว่า เป็นพระเถระ
             พระลกุณฎกภัททิยะเถระ ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีเสียงอันไพ
เราะ การที่ท่านได้บรรลุอรหันต์ และได้รับเอตทัคคะแบบนี้ ก็เพราะท่านไทำบุญกุศลสร้างบารมีตั้งแต่อดีตมาช้านาน ในสมัยของ
พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านเห็นพระพุทธองค์แต่งตั้งภิกษุสาวกรูปหนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้แสดงธรรม
อันไพเราะ ท่านจึงปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเช่นกัน
             วันหนึ่งท่านก็ได้เปล่งอุทานออกมาเป็นคาถาว่า ภิกษุชื่อภัททิยะ ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากเหง้าหมดแล้ว เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นโลกุตตระ เข้าฌานอยู่ในป่าชัฏแห่งหนึ่งนามว่า “อัมพาฏการามอันประเสริฐ”
 
           คนบางพวกเขารื่นเริงกันด้วยเสียงตะโพน พิณและปัณเฑาะว์ ส่วนเรายินดีในพระพุทธศาสนา จึงรื่นรมย์อยู่ที่โคนต้นไม
             ถ้าพระพุทธองค์จะทรงประทานพรแก่เรา และเราก็สามารถได้พรนั้นสมมโนรถ เราจะเลือกเอาพรว่า ขอให้ชาวโลก
ทั้งหมดเจริญกายคตาสติกัน
 
           พระลกุณฎกภัททิยเถระ ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก ช่วยประกาศพระพุทธศาสนาจนถึงวาระสุดท้ายได้นิพพาน
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

         พระสุภูติเถระ
         เอตทัคคะ : ในทางเจริญฌานประกอบด้วยเมตตา และเป็นทักขิไณยบุคคล


            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            เดิมชื่อว่า “สุภูติ” เพราะมีร่างกายสดใสรุ่งเรืองอย่างยิ่ง บิดานามว่า “สุมนเศรษฐี” มารดาไม่ปรากฎนาม เกิดที่เมืองสา
วัตถี เป็นคนวรรณะแพศย์

            พระสุภูติเถระในสมัยก่อนบวชตั้งแต่เป็นเด็กมา ได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาเป็นอย่างดีที่จะพึงหาได้ในสมัยนั้น เพราะบิดาของท่านเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก

 
          ภาคการปฏิบัติ
            สมัยหนึ่งพระศาสดาประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้มาเยี่ยมราชคหเศรษฐีผู้เป็นสหายที่เมือง
ราชคฤห์ ได้ทราบการเสด็จอุบัติแห่งพระศาสดา จึงได้เข้าไปเฝ้าที่สีตวันพร้อมับได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์และได้ดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล จึงได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จไปเมืองสาวัตถีบ้าง พร้อมกับได้สร้างพระเชตวันมหาวิหารถวายเป็น
ที่ประทับ

            ในวันฉลองมหาวิหาร สุภูติกุฎมพีไปกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพื่อฟังธรรมของพระพุทธองค์ และได้เกิดความเลื่อมใส
ศรัทธาใคร่จะบวชในพระพุทธศาสนา จึงทูลขอบวชและได้บวชตามที่ขอ
  
          เมื่อท่านบวชแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉาน และนำไปประพฤติปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐานไม่นานก็
ได้บรรลุพระอรหันต์

 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านมีปฏิปทาที่พิเศษกว่าาผู้อื่น คือ เมื่อแสดงธรรมก็จะไม่ออกไปนอกจากนิยามที่
พระศาสดาทรงแสดงไว้ ไม่พูดถึงคุณหรือโทษของใคร เวลาเที่ยวไปบิณฑบาต ก่อนจะรับอาหารบิณฑบาต ท่านจะเข้าเมตตา
ฌาน ออกจากฌานแล้วจึงรับบิณฑบาต ทำอย่างนี้ทุกๆ เรือน ด้วยตั้งใจว่าจะทำให้ผู้ถวายอาหารได้บุญมาก

             ท่านได้ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า ท่านเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้ง
หลายผู้อยู่อย่างไม่มีกิเลสและเป็นพระทักขิไณยบุคคล
 
           การทีท่านมีอุปนิสัยอย่างนี้ก็เพราะว่าท่านได้สั่งสมบุญบารมีมาตั้งแต่อดีตชาติ เพราะได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งผู้ประกอบด้วย
คุณสมบัติในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า สองอย่างคือ การอยู่อย่างไม่มีกิเลส และความเป็นพระทักขิไณยบุคคล ท่านจึงตั้งใจบำ
เพ็ญบุญทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามที่ตนปรารถนา พระศาสดาจึงทรงพยากรณ์ว่า ท่านจักได้แน่นอน ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระ
นามว่าโคดม
 
           ท่านได้ช่วยประกาศพระศาสนาจนตลอดอายุของท่าน สุดท้ายก็ได้ดับขันธปรินิพพาน เหมือนไฟที่ดับโดยหาเชื้อมิได้

         กังขาเรวตเถระ
         เอตทัคคะ : เป็นผู้ชำนาญในการเข้าฌาน


            ภาคชีวประวิติและการศึกษา
            นามเดิมชื่อว่า “เรวตะ” แต่เพราะท่านมีความสงสัยในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ(สมควร)มากเป็นพิเศษ จึงได้รับขนานนามว่า
“กังขาเรวตะ แปลว่า เรวตะผู้มีความสงสัย” บิดามารดาของท่านไม่ปรากฎนาม ท่านมีฐานะดี อยู่ในวรรณะแพทย์ เป็นชาวเมือง
สาวัตถี เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดู และได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี


            ภาคการปฏิบัติ
            วันหนึ่ง ท่านเรวตะได้ไปยังพระเชตวันพร้อมกับมหาชนยืนอยู่ท้ายบริษัทฟังธรรมกถาของพระศาสดา เกิดศรัทธา
ปรารถนาจะบวช เมื่อมหาชนกลับไปหมดแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระศาสดาก็ทรงบวชไห้เขา
ตามปรารถนา

            พอท่านได้บวชแล้ว ได้ทูลขอให้พระศาสดาตรัสสอนกรรมฐานทำบริกรรมในฌาน ครั้นได้ฌานแล้ว ทำฌานนั้นให้เป็น
บาทเจริญวิปัสสนาพิจารณาฌานนั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นความสุขอันเกิดจากฌานนั้น ไม่นานท่านก็ได้
บรรลุพระอรหันต์
์            ท่านกังขาเรวตเถระ มักจะเข้าฌานนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน ชนทั้งหลายผู้ใฝ่ในฌานมีความเลื่อมใสศรัทธาท่านมาก ต่างพากันไปสักการะเคารพบูชาท่านเป็นจำนวนมาก จนทำให้ท่านได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้
ู้ยินดีในการเข้าฌาน
            ในอดีตชาติ ท่านได้สร้างสมบุญญาบารมีเป็นจำนวนมาก ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เพื่อจะได้เข้า
ฌานและอภิญญา ดังพระสาวกของพระพุทธองค์ ซึ่งก็ได้บรรลุตามที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ
            ท่านได้ช่วยประกาศพระศาสนาเป็นอย่างมากตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน

         พระโกณฑธานเถระ
         เอตทัคคะ : ในทางถือสลากเป็นปฐม


 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            นามเดิมชื่อว่า “ธานะ” เพราะเหตุที่ท่านมีภาพลวงตาเป็นสตรีติดตามท่าน ด้วยผลกรรมในชาติก่อนของท่าน ภิกษุและ
สามเณรทั้งหลายจึงตั้งชื่อเพิ่มให้ท่านว่า “โกณฑธาน หรือกุณฑธาน” บิดาและมารดาของท่านไม่ปรากฎนาม ท่านเกิดในตระกูล
พราหมณ์ เมืองสาวัตถี
            ท่านได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และได้รับการศึกษาในเพศฆราวาสจนจบไตรเพท แต่ก็ไม่ได้ตั้งตนเป็นอาจารย์สอนใครๆ

 
           ภาคการปฏิบัติ
             พอท่านมีอายุย่างเข้าปัจฉิมวัย ได้ฟังธรรมของพระศาสดาเป็นประจำจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงขออุปสมบท และได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่ที่ท่านบวช ด้วยอกุศลกรรมที่ท่านทำในอดีตชาติ เวลาที่ท่านจะ
ยืน เดิน นั่ง หรือนอน ภายในวัด หรือนอกวัดก็ตาม โดยเฉพาะในเวลาที่ท่านเที่ยวบิณฑบาต จะมีคนเห็นภาพสตรีตรหนึ่งติดตาม
หลังท่านไปเสมอ แต่ตัวท่านเองไม่ทราบเลย พอคนใส่บาตรก็จะบอกว่า ส่วนนี้ของท่าน ส่วนนี้สำหรับหญิงสหายของท่าน
 
           ภิกษุและสามเณรทั้งหลายก็เห็นภาพนั้นเป็นประจำ วันหนึ่งจึงพากันล้อมกุฏิท่าน แล้วพูดเยาะเย้ยว่า พระธานะมีเหี้ย
เกิดแล้ว ท่านอดกลั้นไว้ไม่อยู่จึงได้ตอบโต้ไปว่า พวกท่านก็เป็นเหี้ย ภิกษุทั้งหลายจึงไปฟ้องพระพุทธองค์ๆ ตรัสเรียกท่านไปพบ
และแสดงธรรมว่า เธออย่ากล่าวคำหยาบต่อใคร ๆ เพราะผู้ที่ถูกเธอด่า ย่อมด่าตอบเธอ จะกลายเป็นการแข่งดีกัน สุดท้ายก็จะเกิด
การทะเลาะทำร้ายกันได

             ท่านมีความลำบากใจ โดยเฉพาะเรื่องอาหารบิณฑบาต ต่อมามีการพิสูจน์ความจริง โดยมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็น
ประธาน และทรงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่จริง และเป็นเวรกรรมของท่าน พระองค์จึงรับภาระอุปถัมภ์ท่าน พอท่านได้สัปปายะด้วย
อาหารแล้ว ได้ตั้งใจพากเพียรปฏิบัติธรรม ไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ พอท่านบรรลุพระอรหันต์ ภาพลวงตาผู้หญิงก็ได้หายไป
ทันที

 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านบวชตอนอายุมากแล้ว จึงไม่มีผลงานด้านประกาศพระศาสนาที่ชัดเจน แต่บาปกรรมที่ท่านได้ทำไว้ในอดีตชาติ น่าจะเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังเป็นอย่างดีเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ว่าเมื่อใครทำไปแล้ว จะหนีกรรมไม่พ้นอย่างแน่นอน ไม่วัน
ใด ก็วันหนึ่ง หรือชาติใดชาติหนึ่งเหมือนท่านเป็นตัวอย่าง

             อดีตชาติของท่านได้เป็นภุมมเทวดา เห็นพระภิกษุสองรูปเกิดรักใคร่กลมเกลียวกันดี จึงแปลงร่างเป็นผู้หญิงสาวสวย
เดินตามหลังภิกษุรูปหนึ่ง ทำให้เพื่อนอีกรูปหนึ่งรังเกียจและไม่ลงอุโบสถร่วมกัน ต่อมาภายหลังเทวดาเกิดสลดใจสำนึกผิด จึงจำ แลงกายมาบอกความจริงให้ภิกษุทั้งสองมีความสามัคคีเข้าใจกันเหมือนเดิม พอมาชาติสุดท้ายท่านจึงมีภาพลวงตาสตรีติดตาม
ท่านด้วยผลกรรม
 
           เวลาที่ท่านได้รับกิจนิมนต์ ท่านมักจะได้รับการจับสลากก่อนเสมอ ด้วยผลกรรมที่ท่านได้สร้างในอดีตชาติเหมือนกัน
จึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในการจับสลากเป็นปฐมนั้นเอง
 
           ท่านได้ดำรงชีวิตจนถึงวาระสุดท้าย ก็ได้นิพพาน

 
        พระวังคีสเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางผู้มีปฏิภาณในการกล่าวเป็นคำประพันธ์


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             ท่านวังคีสะ เกิดในวังคชนบท ในเมืองสาวัตถี การศึกษาจบไตรเพท และท่านมีความชำนาญในถ้อยคำ เป็นที่พอใจ
ของครูอาจารย์มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการใช้เล็บดีดกะโหลกศีรษะของผู้ที่ตายภายในเวลา ๓ ปี แล้วสามารถรู้ได้ว่า ไปเกิดที่
ไหน และท่านได้ลาภเป็นอันมากเพราะการดีดกะโหลกเป็นอุบายหาเลี้ยงชีพ บิดาเป็นพราหม์ ส่วนมารดาเป็นปริพพาชก ทั้งสอง
เป็นพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี


             ภาคการปฏิบัติ
             วันหนึ่งท่านได้สดับคุณของพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอยากจะไปเฝ้าให้ได้ แม้จะถูกคัดค้านจากพราหมณ์
์ทั้งหลายก็ตาม เพราะกลัวจะไปนับถือพระองค์นั้นเอง สุดท้ายก็ไปเฝ้าจนสำเร็จ และได้รับการปฏิสันถารจากพระพุทธองค์เป็น
อย่างดี และก็ได้ประลองวิชาดีดกะโหลกกับพระพุทธองค์ว่ากะโหลกนี้ไปเกิดในนรก,สวรรค์ หรือเทวดาเป็นต้น จนได้รับสาธุการ แต่พอดีดกะโหลกสุดท้าย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ทราบว่าไปเกิดที่ไหน นั่งเหงื่อไหล พระองค์จึงตรัสว่า ถ้าเธออยากได้มนต์
์นี้ ก็จงถือเพศบรรพชิตเท่านั้นจึงรู้ได้

             พอท่านบวชแล้ว ก็ได้เรียนกรรมฐานคือ อาการ ๓๒ และวิปัสสนากรรมฐานไม่นาน ก็บรรลุพระอรหันต์

 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             ตำนานไม่ปรากฎชัดในการประกาศพระศาสนาของท่านที่ชัดเจน แต่ท่านได้ทำให้ประชาชนทั้งหลายผู้ที่ยังไม่เลื่อม
ใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้เลื่อมใส และผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น

             ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณในการกล่าวคำเป็นประพันธ์(ฉันท์)สรรเสริญคุณของพระศาสดา เวลาที่ท่านเข้าไปเฝ้าได้ทุกครั้ง จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ สุดท้ายท่านก็เข้าสู่นิพพาน

          พระปิลินทวัจฉเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางเป็นที่รักใคร่ของเหล่าเทพยดา


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             นามเดิมชื่อว่า “ปิลินทะ” ส่วนคำว่าวัจฉะเป็นชื่อของโคตร ภายหลังชื่อว่า “ปิลินทวัจฉะ” เพราะนำเอาชื่อโคตรไปรวม
ด้วย เกิดในตระกูลวัจฉโคตร ในเมืองสาวัตถี ส่วนบิดาและมารดาไม่ปรากฎนาม ปกติท่านเป็นผู้ที่มากไปด้วยความสังเวช คือ
ความสลดใจที่ประกอบกับโอตตัปปะ ได้บวชเป็นปริพพาชก สำเร็จวิชา ๓ ชื่อว่าจูฬคันธาระ เหาะเหินเดินอากาศได้และรู้ใจของผู้
อื่น มีลาภยศมาก โดยอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์

             เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ และประทับประกาศพระศาสนาอยู่ที่นครราชคฤห์ ทำให้วิชา และลาภยศของท่านเสื่อม ต่อ
มาท่านจึงเลื่อมใสและขอบวช โดยหวังว่าจะได้เรียนรู้วิชาจากพระพุทธองค์

 
           ภาคการปฏิบัติ
             เมื่อท่านได้บวชเรียนพากเพียรยายามปฏิบัติกรรมฐานและวิปัสสนากับพระพุทธองค์ ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะท่านผู้ที่มีอุปนิสัยถึงพร้อมแล้วนั้นเอง


 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             หลังจากที่ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยประกาศพระศาสนาหลายอย่าง จนเป็นที่เคารพรักศรัทธาของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย กล่าวกันว่า ผู้ที่เคยตั้งอยู่ในโอวาทของท่านสมัยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ได้ไปเกิดเป็นเทวดามากมาย เทวดา
เหล่านั้นมีความกตัญญู นับถือท่านมาก จึงพากันมาเฝ้าท่านทั้งเช้า-เย็น แต่ท่านมักจะมีปัญหากับภิกษุและชาวบ้าน เพราะท่านพูด
ไม่เพราะ ไม่ว่าจะเรียกใครๆ ก็ตามมักจะมีคำว่า “คนถ่อย” พ่วงท้ายมาด้วยเสมอ เพราะวาสนาของท่าน
             ภิกษุทั้งหลายพอฟังคำท่านพูดอย่างนั้น ก็ไม่สบายใจ เพราะเป็นคำหยาบคาย เรื่องทราบไปถึงพระพุทธองค์ ต่อมา
พระศาสดาทรงอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ จึงไม่มีใครถือสากับคำพูดของท่าน กลับศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านยิ่งขึ้น

          พระกุมารกัสสปเถระ
          เอตทัคคะ : ในการแสดงธรรมได้อย่างวิจิตร


             ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             เดิมชื่อว่า “กัสสปะ” ซึ่งเป็นนามที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตั้งให้ แต่เวลาที่ท่านบวชในพระพุทธศาสนา พระศาสดา
ตรัสถามว่า “กัสสปะ” จึงถูกทูลถามว่า “กัสสปะไหน” จึงตรัสว่า “กุมารกัสสปะ” เพราะท่านบวชมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นบุตรของ
ธิดาเศรษฐี ในเวลาที่ท่านบวชแล้วจึงได้ทราบว่าตั้งครรภ์ เกิดในเมืองราชคฤห์

 
           ภาคการปฏิบัติ
             ท่านได้มีโอกาศบวชตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเป็นเด็กที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงชุบเลี้ยงอย่างราชกุมาร และเพราะ
มารดาของท่านคลอดขณะเป็นภิกษุณีอยู่ ตั้งแต่ท่านบวชแล้ว ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนและเจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยความลำบาก

              ดังนั้น สหายของท่านเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส จึงผูกปัญหา ๑๕ ข้อแล้วบอกว่า นอกจากพระศาสดา ไม่มีใคร
สามารถแก้ปัญหานี้ได้ รุ่งขึ้นท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามปัญหาเหล่านั้น พระศาสดาทรงแก้ให้ท่าน ท่านเรียนเองตามที่
พระศาสดาตรัสบอก เข้าไปยังป่าอัมพวัน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหันต์


             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านกล่าวธรรมกถาได้อย่างวิจิตรพิศดาร สมบูรณ์ด้วยอุปมาอุปไมย และมีเหตุผลประกอบตลอด เช่น การโต้ตอบกับ
พระเจ้าปายาสิ ผู้ไม่เชื่อว่าโลกอื่นมีจริง เป็นต้น

             พระเจ้าปายาสิเห็นว่านรกไม่มี เพราะไม่เคยเห็นญาติคนไหนตกนรกแล้วกลับมาบอก ท่านก็อุปมาว่า เหมือนคนทำ
ความผิดร้ายแรง ถูกตัดสินจองจำในคุกจะออกมานอกคุกได้อย่างไร
             พระเจ้าปายาสิเห็นว่าสวรรค์ไม่มี เพราะไม่มีญาติที่ขึ้นสวรรค์กลับมาบอก ท่านอุปมาว่า เหมือนคนพลัดตกลงไปใน
หลุมคูถ ครั้นขึ้นมาได้ ชำระร่างกายสะอาดแล้ว คงไม่มีใครอยากลงไปนอนในหลุมคูถอีก
             พระเจ้าปายาสิตรัสว่า เคยฆ่าคนโดยเอาใส่ในหม้อ แล้วปิดฝาจนสนิทถมทั้งเป็นให้คนช่วยดูรอบ ๆ หม้อ ก็ไม่เห็นชีวะ
(วิญญาณ)ของผู้นั้นออกมา ท่านก็อุปมาว่า เหมือนพระองค์เคยบรรทมหลับท่ามกลางผู้อารักขาและนางสนม แล้วทรงสุบินว่า
เสด็จประพาสสถานที่ต่าง ๆ แต่ก็ไม่เคยมมีใครเห็นชีวะ(วิญญาณ)ของพระองค์ที่ออกไปเลย
             ยังมีเรื่องในทำนองนี้อีกมากมาย ที่แสดงถึงความฉลาดและปฏิภาณไหวพริบของท่านกุมารกัสสปะเถระ ในการอธิบาย
หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา และได้โต้ตอบผู้ที่มาคัดค้านคำสอนได้เป็นอย่างดี จึงนับว่าท่านเป็นกำลังสำคัญในการประกาศ
พระศาสนาเป็นอย่างดียิ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
 
           ด้วยเหตุนี้เอง ท่านกุมารกัสสปะ จึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ใช้ถ้อยคำอัน
วิจิตร คือกล่าวถ้อยคำได้อย่างไพเราะนั้นเอง ที่เป็นอย่างนี้ เพราะท่านได้บำเพ็ญบุญบารมี ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุต
ตระ
 
           ท่านได้ช่วยพระศาสนาจนวาระสุดท้ายของชีวิต และเข้าสู่นิพพานในที่สุด

 
        พระมหาโกฏฐิตเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางบรรลุปฏิสัมภิทา

 
          ภาคชีวประวัติและการศึกษา
            ที่ได้นามว่า “โกฏฐิตะ หรือมหาโกฏฐิตเถระ เพราะมีความหมายว่าทำให้คนหนีหน้า” เพราะท่านเป็นผู้ฉลาดในศาสตร์
์ต่างๆ ด้วยการเที่ยวทิ่มแทงคนอื่นด้วยหอกคือปากของตน บิดาชื่อว่า “อัสสลายนพราหมณ์” ส่วนมารดาชื่อว่า “จันทวดีพราหม ณี” ทั้งสองเป็นชาวเมืองสาวัตถี

            เมื่อท่านได้เจริญวัยแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนจบไตรเพทจนถึงความสำเร็จ ในศิลปะของพราหมณ์ เป็นผู้ฉลาดในเวทางค
ศาสตร์ ตักกศาสตร์ นิฆัณฑุศาสตร์ และถกฎุภศาสตร์กล่าวข้างต้น

 
          ภาคการปฏิบัติ
            เมื่อท่านได้บวชแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติ พิจารณาสังขารโดยความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่
นานก็บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยความชำนาญในปฏิสัมภิทา ๔ มีความกล้าหาญในการสอบถามปัญหากับพระเถระ หรือแม้แต่
พระพุทธองค์ก็ไม่กลัว ดังนั้น ท่านจึงได้นามเพิ่มอีกว่า “มหาโกฏฐิตเถระ” นั้นเอง


            ภาคการประกาศพระศาสนา
            ท่านเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนา และได้แสดงหลักธรรมไว้ในมหาเวทัลลสูตร ปัจจัยการเกิดสัมมา
ทิฏฐิ การเกิดในภพใหม่มีได้ และการเกิดในภพใหม่มีไม่ได้ เป็นต้น

            ดังนั้น ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ เพราะบุญญาธิ
การอันเป็นอุปนิสัยแห่งมรรคผลนิพพานมานาน ในสมัยแห่งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า

            ท่านได้ทำหน้าที่ของท่าน และต่อพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นพระสงฆ์จนตลอดชีวิต สุดท้ายก็เข้าสู่พระนิพพาน

          พระโสภิตเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางระลึกชาติก่อนได้

 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ เรียนจบศิลปวิทยา ในเมืองสาวัตถี ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เพราะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงทูลขอบวช เพื่อประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

             ภาคการปฏิบัติ
             เมื่อท่านบวชแล้ว ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนมีความเข้าใจดีแล้ว ก็นำไปประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญกรรมฐานไม่
นาน ท่านก็ได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดของการปฏิบัติธรรมของท่านที่ชัดเจน

 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านมีความชำนาญในการเข้าฌานและระลึกชาติได้คล่องแคล่วมากมาย ฉะนั้น ท่านจึงได้รับยกย่องว่า เป็นผู้เลิศใน
การระลึกชาติได้ คือในทาง “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” แต่การเผยแผ่ธรรมของท่านไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจน

 
        พระนันทกเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางสอนนางภิกษุณี

 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              ท่านเกิดในตระกูลไวศยะ(แพทย์)มีฐานะดีตระกูลหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาส
นา เพราะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงทูลขอบวช เพื่อประพฤติและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต่อไป


 
           ภาคการปฏิบัติ
             เมื่อท่านบวชแล้ว ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนมีความเข้าใจดีแล้ว ก็นำไปประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญกรรมฐานไม่
นาน ท่านก็ได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดของการปฏิบัติธรรมของท่านที่ชัดเจน


             ภาคการประกาศพระศาสนา
             ท่านมีความชำนาญ หรือสามารถในการแสดงธรรมใกล้เคียงกับพระสัมมมสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก และนับว่าเป็น
ยอดธรรมกถึกผู้หนึ่ง จนได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ให้ท่านสอนนางภิกษุณีได้ ซึ่งปรากฏว่านางภิกษุณีเป็นจำนวนมากได้มี
ความเลื่อมใสศรัทธาและจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังธรรมเทศนาของท่าน ฉะนั้นท่านจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศ ในทางสอนนางภิกษุณี


           พระมหากัปปินเถระ
           เอตทัคคะ : ในทางสอนภิกษุ


 
            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
               เดิมชื่อว่า “กัปปินะ” เป็นกษัตริย์ หลังจากท่านได้ครองราชสมบัติ ในเมืองกุกกุฎวดี ในปัจจันตประเทศ จึงได้พระ
นามเพิ่มใหม่ว่า “มหากัปปินะ” ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า “อโนชา” ซึ่งเป็นพระธิดาของกษัตริย์สาคละ แห่งแคว้นมัททะ

               พระองค์ได้ทราบกิตติศัพท์ และการเกิดขึ้นของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จากพ่อค้าชาวเมืองพาราณสี
ทานเกิดปีติท่ามท้นยอมสละราชสมบัติทั้งหมด แล้วพาบริวารถึง ๑,๐๐๐ คนทรงควบม้าข้ามแม่น้ำเสมือนวิ่งบนบกด้วยแรง
อธิษฐานจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย โดยสวัสดิภาพ ถึง ๓ สาย คือแม่น้ำอารวปัจฉา แม่น้ำนีลวาหนา และแม่น้ำจันทภาคา เพื่อเฝ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นระยะทางถึง ๓๐๐ โยชน์ เมื่อได้เฝ้าพระพุทธองค์แล้วก็เกิดปีติจนควบคุมตนเองไม่ได้ จึงเข้าไปสวม
กอดพระบาทถวายบังคมแล้วถอยออกมานั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบันก่อนแล้ว จึงพร้อมกับบริวารจึงทูลขอบวช
ในภายหลัง

 
            ภาคการปฏิบัติ
              หลังจากที่ท่านบวชแล้วด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จนบรรลุความเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังธรรมชื่อว่า อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ และท่านมักเปล่งวาจาบ่อยๆ ว่า “สุขหนอๆ”

              ภาคการประกาศพระศาสนา
              และท่านได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีผลงานเป็นที่ยอมรับในด้านความสามารถ ด้วยการแสดงธรรมแก่
ภิกษุทั้งหลายในคราวเดียวกันถึง ๑,๐๐๐ รูป จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้น ท่านจึงได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศในทางการสอน
ภิกษุนั้นเอง

           พระสาคตเถระ
           เอตทัคคะ : เป็นผู้ฉลาด (ชำนาญ) ในทางเตโชธาติ

 
            ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              ท่านเกิดในวรรณพราหมณ์ เรียนจบศิลปวทยา ในเมืองสาวัตถี ท่านได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเกิด
ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะท่านมีความสลดใจในพฤติกรรมการเมาสุราของท่าน ซึ่งมีเรื่องเล่าโดยย่อว่า ท่านได้ทรมาน
พญานาค ชื่อว่า อัมพติฏฐกะ ให้สิ้นฤทธิ์ เมื่อเวลาท่านออกบิณฑบาต ประชาชนทั้งหลายเลื่อมใสท่านมากจึงนำเอาสุรามาให้ท่าน
ดื่ม ท่านก็ได้ฉลองศรัทธาบ้านละนิดละหน่อยจนเมาไม่ได้สติ นอนหลับไหลอยู่ใกล้กองขยะริมทางเดิน พอพระพุทธองค์เสด็จ
ผ่านไปพบเข้า จึงทรงรับสั่งให้พระช่วยกันหามท่านกลับวัด แล้วจึงทรงยกเรื่องของท่านเป็นปฐมเหตุในการบัญญัติสิกขาบทห้าม
พระดื่มสุรา ถ้าภิกษุรูปได้ดื่ม ต้องอาบัติปาจิตตีย์


 
            ภาคการปฏิบัติ
              พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง เมื่อท่านสร่างเมาได้สติรู้สึกตัว และได้ฟังเรื่องราวของท่านจากเพื่อนพระด้วยกัน ก็รู้สึกสลดใจ ในพฤติกรรมของตนเอง จึงได้ทูลขอขมาให้พระพุทธเจ้ายกโทษให้ นับตั้งแต่จากนั้น ท่านก็ไม่ประมาท และไม่ติดอยู่ในฌานอภิญ
ญา ตั้งใจเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


              ภาคการประกาศพระศาสนา
              ท่านได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ธรรม ซึ่งครั้งหนึ่ง ท่านได้แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการดำดินลงไปแล้วโผล่ขึ้นเบื้อง
พระพักตร์ของพระพุทธองค์ ทำให้ชาวเมืองแคว้นอังคะที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย พระพุทธองค์จึงรับสั่งให้ท่าน
แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการยืน เดิน นั่ง นอน ในอากาศจนครบถ้วน
              พอชาวเมืองเห็นดังนั้น ต่างรู้สึกว่าพระสาวกยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ แล้วพระพุทธองค์จะขนาดไหน พระพุทธ
องค์ทรงทราบวาระจิตองมหาชนแล้ว จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ มหาชนบรรลุพระโสดาบันเป็นจำนวนมาก


           พระอุปเสนเถระ
           เอตทัคคะ : ทำให้ชนทุกชั้นมีความศรัทธาเลื่อมใส


              ภาคชีวประวัติและการศึกษา
               เดิมชื่อว่า “อุปเสนมาณพ หรือ อุปเสนวังคันตบุตร” บิดาชื่อว่า “วังคันตะ” มารดาชื่อว่า “นางสารี” มีพี่น้องร่วมท้อง
เดียวกัน ๓ คน คืออุปติสสะ และจุนทะ และขทิรวนิยเรวตะ มีน้องสาว ๒ คน คือ นางจาลา นางอุปจารา และนางสุปจารา เกิดที่
ี่หมู่บ้านนาลันทา แคว้นมคธ ในวรรณะพราหมณ์

               ท่านได้รับการศึกษาจนจบไตรเพท และได้ออกบวชตามพี่ชาย คือ พระสารีบุตร เพราะได้ฟังกิตติศัพท์ของพระพุทธ
เจ้า และได้ฟังธรรมจนเกิดศรัทธาแล้วจึงได้ขอบวชจากพระพุทธองค


              ภาคการปฏิบัติ
              หลังจากท่านบวชได้เพียง ๑ พรรษา ได้เป็นอุปัชฌาย์บวชให้กุลบุตรคนหนึ่ง จนถูกพระพุทธองค์ทรงตำหนิอย่าง
แรงว่าเป็นโมฆบุรุษ ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะตนเองก็ยังต้องถูกสั่งสอน แต่ริกลับไปสอนคนอื่น จึงคิดว่าเราถูกตำหนิก็เพราะ
อาศัยสัทธิวิหาริก แล้วจึงพากันไปเร่งปฏิบัติธรรม ไม่นาน ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์จนมีลูกศิษย์มากมาย จนได้รับการสรร
เสริญจากพระพุทธองค์

 
            ภาคการประกาศพระศาสนา
              เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ได้สมาทานธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อ ท่านยังเป็นนักเทศนาที่มีชื่อเสียงเป็นอันมากด้วย จน
ทำให้ประชาชนทุกชั้นวรรณะมีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก และได้บวชตามท่านพร้อมทั้งสมาทานธุดงค์เป็นวัตรเช่นกัน ดังนั้น ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่มหาชน และเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามสมควร แล้วก็ปรินิพพาน
เหมือนกับไฟที่หมดเชื้อ


          พระขทิรวนิยเรวตเถระ
          เอตทัคคะ : มีปกติอยู่ในป่าเป็นวัตร


              ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              ท่านเป็นน้องชายคนเล็กของท่านอุปติสสะ(พระสารีบุตร) บิดาชื่อว่า “วังคันตะ” มารดาชื่อว่า “นางสารี” มีพี่น้อง
ร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน คืออุปติสสะ อุปเสน และจุนทะ มีน้องสาว ๓ คน คือ นางจาลา นางอุปจารา และนางสุปจารา เกิดที่หมู่
ู่บ้านนาลันทา แคว้นมคธ ในวรรณะพราหมณ์
 
            ท่านยังมิได้เรียนจบอะไร ก็ถูกบิดามารดาขอร้องให้แต่งงานตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เนื่องจากท่านเป็นลูกชายคนเล็ก ของ
ครอบครัว บิดามารดาเกรงว่าท่านจะออกบวชตามพี่ชายนั่นเอง เพราะหวังจะให้ใช้ชีวิตคู่เป็นเครื่องผูกมัด แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะในขณะที่ท่านนั่งยานไปเรือนหอ ก็ได้ขอตัวลงไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะ แล้วก็ถือโอกาสหนีไปยังสำนักของพระผู้ถือการอยู่
ป่าเป็นวัตร และขอบวชได้อย่างง่ายดาย เพราะพระป่าท่านทราบว่าเป็นน้องชายของท่านพระสารีบุตรนั้นเอง

 
            ภาคการปฏิบัติ
              หลังจากที่ท่านได้บวชแล้ว ก็ได้ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์และบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าไม้
ตะเคียน(ป่าไม้ขทิระ)จนได้บรรลุพระอรหันต์ภายในพรรษานั้นเอง

              ภาคการประกาศพระศาสนา
              ไม่ปรากฎชัด แต่หลังจากที่ท่านบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ได้ช่วยเผยแผ่พระศาสนา ด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์ เนรมิตร
ป่าให้เป็นพระคันธกุฎีและเรือนยอดถวายพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวก ๕๐๐ องค์ที่ตามเสด็จ

 
        พระสีวลีเถระ
          เอตทัคคะ : ในทางมีลาภมาก


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              บิดาไม่ปรากฎนาม ส่วนมารดาชื่อว่า “พระนางสุปปวาสา” ซึ่งเป็นพระธิดาเจ้าเมืองโกลิยะ ท่านอยู่ในครรภ์มารดาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในขณะที่อยู่ในพระครรภ์ ทำให้พระมารดามีลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย และเมื่อถึงเวลาคลอด พระนางก็
คลอดง่ายที่สุด
              หลังจากที่ท่านประสูติแล้ว พระมารดาก็ได้ทำบุญมหาทานฉลองตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระสารีบุตรจึงชวนเธอ
บวชเธอดีใจมาก และได้รับอนุญาตจากพระมารดาเป็นอย่างดี ซึ่งชีวิตท่านถือว่าแปลกที่สุด คือเมื่อคลอดแล้วได้เพียง ๗ วัน มารดาก็ทำงานได้เลย ด้วยการนิมนต์พระพุทธเจ้ามาทำบุญ หลังจากนั้น ท่านได้บวชเป็นสามเณรทันที ซึ่งท่านได้ใช้ชีวิต
ฆรา วาสจริงๆ เพียง ๗ วันเท่านั้น เมื่อบวชแล้ว ลาภสักการะทั้งหลายก็เกิดขึ้นมากมายแก่ภิกษุทั้งหลาย


             ภาคการปฏิบัติ
             หลังจากท่านบวชแล้ว ก็ได้เจริญตจปัญจกกรรมฐานจากพระสารีบุตร แล้วก็ได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ในขณะ
เวลาที่ท่านปลงผมนั้นเอง คือบรรลุโสดาปัตติผล เวลาจรดมีดโกนครั้งแรก บรรลุสกทาคามิผล เวลาจรดมีดโกนครั้งที่ ๒ บรรลุ
ุอนาคามิผล เวลาจรดมีดโกนครั้งที่ ๓ และบรรลุพระอรหัตตผล ในเวลาโกนผมเสร็จ


 
           ภาคการประกาศพระศาสนา
             ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทไว้ชัดเจน เพียงแต่ท่านเป็นพระที่มีลาภสักการะมาก และเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมาก
สำหรับเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่มักจะถูกกล่าวว่าเป็นเพราะบุญเก่า แต่ก็ถือว่าท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความสำคัญ เพราะว่าสามารถ
ยังความเลื่อมใสศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ชนทั้งหลายที่ยังไม่ศรัทธา และมีความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา
อยู่แล้ว ก็เพราะอาศัยบุญญาธิการของท่านนั้นเอง


           พระวักกลิเถระ
           เอตทัคคะ : ในทางศรัทธาวิมุตติ


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
             บิดาและมารดาของท่านไม่ปรากฎนาม เกิดอยู่ในวรรณะพราหมณ์ กรุงสาวัตถี

             เมื่อโตขึ้น ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ จนจบไตรเพท แต่ก็ไม่ปรากฎว่าท่านได้เป็นอาจารย์สอนใคร เพราะตามอุปนิสัยเดิมของ
ท่านเป็นคนที่รักสวยรักงามมาก

             ภาคการปฏิบัติ
             จุดเริ่มต้นในการประพฤติปฏิบัติในทางธรรมของท่าน ก็เพราะได้เห็นพระวรกายอันสง่างามของพระพุทธองค์ ใน
ขณะที่พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก ได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี และต้องการบวช เพราะอยากจะเห็นพระ
วรกายของพระพุทธองค์ทุกๆ วัน พระพุทธองค์ทรงบวชให้ตามประสงค์
             หลังจากที่ท่านได้บวชแล้ว ก็คอยเฝ้าแต่ติดตามดูพระวรกายของพระพุทธองค์อยู่เนืองๆ จนพระพุทธองค์ตรัสตัก
เตือนให้ท่านเลิกละการเที่ยวดูร่างกายอันเปื่อยเน่าผุพัง และทรงชี้ทางออกให้ท่านสนใจหันมาบำเพ็ญเพียรในการปฏิบัติธรรมว่า “วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม” แม้พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ ท่านก็ยังไม่เลิกดู จนถูก
พระพุทธองค์ตรัสขับไล่ว่า “วักกลิ เธอจงหลีกไปไกล ๆ ”
             ท่านไม่เข้าใจพระพุทธองค์ตรัสสอน แต่รู้สึกเสียใจมาก จึงได้ออกจากวัดพระเชตวันไปหมายที่จะกระโดดภูเขาฆ่าตัว
ตาย พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของท่าน จึงปรากฎพระองค์ให้เห็นและตรัสเรียกว่า “วักกลิ” ท่านดีใจมาก จนทำให้ปีติเกิด
ขึ้นมาแทนที่ และได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ จนได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์

              ภาคการประกาศพระศาสนา
              ท่านไม่มีประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ชัดเจน เพราะบวชด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์ และพ้นจากกิเลสศรัท
ธา(สัทธาวิมุตติ)เท่านั้น

           พระพาหิยทารุจีริยเถระ
           เอตทัคคะ : ในทางตรัสรู้เร็วพลัน


 
           ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              เดิมชื่อว่า “พาหิยะ” ภายหลังท่านนุ่งเปลือกไม้ จึงได้ชื่อใหม่ว่า “พาหิยทารุจีริยะ” แปลว่า “พาหิยะผู้มีเปลือกไม้
เป็นเครื่องนุ่งห่ม” เกิดในตระกูลกุฎุมพี (พ่อค้า) ในแคว้นพาหิยรัฐ
              ท่านมีอาชีพค้าขายโดยทางเรือที่ท่าสุปปารกะ ในอปรันตชนบท วันหนึ่งทะเลเกิดมรสุม คลื่นซัดเรืออัปปาง ลูกเรือ
ตายหมด ท่านรอดคนเดียว เพราะอาศัยกระดานลอยน้ำเข้าฝั่งโดยที่ร่างกายไม่เหลืออะไรปกปิดความละอาย จึงได้เอาใบไม้บ้าง เปลือกไม้บ้าง มานุ่งห่มแล้วจึงเที่ยวขออาหารกิน ประชาชนทั้งหลายเห็นคิดว่าท่านเป็นพระอรหันต
              ท่านหลงเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะอยู่อย่างสุขสบายด้วยลาภสักการะที่ผู้เลื่อมใสนำมามอบให้ ต่อมามหา
พรหมองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าในอดีตชาติ ได้แปลงร่างลงมาจากพรหมชั้นสุทธาวาสเพื่อเตือนสติท่านว่าไม่ใช่พระอรหันต์ และ
ได้บอกว่าตอนนี้พระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระอรหันต์ได้ประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล

 
            ภาคการปฏิบัติ
              ต่อมาท่านได้ฟังธรรมเทศนาของพระพุทธองค์เพียงย่อๆ ว่า “พาหิยะ เธอควรศึกษาอย่างนี้แล พาหิยะ เมื่อใดแล เธอ
เห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทราบก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกก็สักแต่ว่ารู้สึก เมื่อนั้นตัวเธอก็ไม่มี เมื่อใดตัวเธอ
ไม่มี เมื่อนั้นตัวเธอก็ไม่มีในที่นั้น เมื่อใดตัวเธอไม่มีในที่นั้น เมื่อนั้น ตัวเธอก็ไม่มีในโลกนี้ ในโลกหน้า และในระหว่างโลกทั้ง ๒ นี้
ี้แหละคือที่สุดแห่งทุกข์” ท่านพิจารณาตามพระดำรัสจนจบ พร้อมกับการบรรลุพระอรหัตตผลทันที
              จากนั้นท่านจึงทูลขอบวช พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ท่านหาบาตรและจีวรมาก่อน ท่านได้ทำตามด้วยการแสดงหา ใน
ขณะนั้นก็ได้ถูกแม่โคลูกอ่อนขวิดเสียชีวิตก่อนกลางทาง จึงนิพพานโดยยังไม่ได้บวชเลย


              ภาคการประกาศพระศาสนา
              ท่านไม่มีประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะพาหิยะได้ถูกแม่โคขวิดขณะออกหาบาตรและจีวร จากนั้นพระ
พุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระช่วยกันเผาศพท่าน แล้วให้นำเอาอัฐิไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตรงทาง ๔ แยก เพื่อให้คนได้ทำการสักการะ
บูชาท่าน เพื่อเป็นสังฆานุสสติอีกทางหนึ่งด้วย


           พระพากุลเถระ
           เอตทัคคะ : ในทางผู้มีอาพาธน้อย


              ภาคชีวประวัติและการศึกษา
              พากุละ แปลว่า คนสองตระกูล ไม่ปรากฎนามของบิดามารดา ท่านเป็นบุตรเศรษฐีในเมืองโกสัมพี
              เมื่อเวลาที่ท่านคลอดออกมาได้ ๕ วัน มีการทำมงคลโกนผมหน้าไฟพร้อมทั้งตั้งชื่อ พี่เลี้ยงนางนมได้พาท่านไปอาบ
น้ำที่แม่น้ำคงคา ขณะนั้นได้มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งมาคาบเอาทารกแล้วกลืนเข้าไปในท้อง แต่เพราะเด็กนั้นเป็นผู้มีบุญ ทางพระพุทธ
ศาสนาเรียกว่า “ปัจฉิมภวิกสัตว์” แปลว่า “ผู้เกิดในภพสุดท้าย” ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหันต์ อย่างไรเสียก็จักยังไม่ตาย
 
            ต่อมาปลาได้ถูกชาวประมงจับได้แล้วนำไปขายให้ตระกูลเศรษฐีในเมืองพาราณสี พอผ่าท้องปลาออกมา ก็ได้เจอทารก
น้อย เลยเลี้องไว้เป็นบุตรบุญธรรม
 
            ฝ่ายบิดามารดาเก่าเมื่อได้ทราบข่าว จึงมาขอบุตรคืน แต่ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันไม่ได้ จึงถวายฎีกาต่อพระเจ้าพาราณสี พระองค์จึงทรงวินิจฉัยให้ตระกูลทั้งสองสลับเปลี่ยนกันเลี้ยงตระกูลละ ๔ เดือน ท่านใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลทั้ง ๒ อย่างมีความสุข จนกระทั่งอายุถึง ๘๐ ปี

 
            ภาคการปฏิบัติ
              ท่านพร้อมด้วยบริวารได้ไปฟังพระธรรมเทศนา ในเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดชาวเมืองพาราณสี จึงได้ทูล
ขอบวช ในขณะที่ท่านมีอายุ ๘๐ ปี เมื่อท่านบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท มีความพากเพียรพยายาม
เจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียง ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอรหันต์

              ท่านได้มีอายุยืนถึง ๑๖๐ ปี คือเป็นฆราวาส ๘๐ ปี และเป็นพระอยู่ ๘๐ ปี ตำนานกล่าวว่า ท่านมีอายุยืนยาวนาน เพราะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยไม่ต้องฉันยารักษาโรคเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านเคยสร้างเว็จจกุฎีถวายสงฆ์ และได้
บริจาคยาให้เป็นทานนั้นเอง


              ภาคการประกาศพระศาสนา
              ท่านเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ องค์ ที่ได้ร่วมทำปฐมสังคายนา และท่านก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้
เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีโรคภัยไข้เจ็บน้อยที่สุดด้วย

 
สงวนลิขสิทธ์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ 
พัฒนาและดูแลโดย : webmaster@mcu.ac.th 
ปรับปรุงครั้งล่าสุดวันพฤหัสบดี ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕