พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวภายหลังสักการะพระประธานวัดพระหยก นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า การเดินทางมาร่วมสัมมนาวิชาการครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์ไทย และคณะสงฆ์ของจีน เนื่องจาก มจร. ได้เคยลงนามความร่วมมือกับพุทธสมาคม ของจีน เมื่อปี 2545 ซึ่งพุทธสมาคมของจีนจะทำหน้าที่ดูแล พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน เหมือนกับมหาเถรสมาคม (มส.) ของไทย ถือว่าเป็นสมาคมที่ใหญ่มาก ดังนั้น การมาประชุมครั้งนี้จะเป็นการสานสัมพันธ์ด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาของทั้ง 2 ประเทศให้แน่แฟ้นยิ่งขึ้น อาตมาในฐานะอธิการบดีมหาจุฬาฯ ยังจะได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถือเป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนามาบรรยายให้คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนชาวจีนได้รับฟังด้วยว่า สังคมไทยมีการพัฒนาความเป็นอยู่อย่างพอเพียงได้อย่างไรอย่างยั่งยืนภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเมือง โดยเฉพาะการดำรงชีวิตในเมืองใหญ่ ซึ่งนับวันจะต้องเน้นความพอเพียง และเน้นการพัฒนาจิตใจให้มากขึ้น เพราะสังคมเมืองใหญ่ส่วนใหญ่ในโลกจะขาดความมีน้ำใจ ขาดการมีจิตอาสามากขึ้นทุกที "อาตมาจะบรรยายให้ประชาชนชาวจีนเห็นว่า การอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ต้องพัฒนาตามหลักภาวนา 4 คือ ต้องพัฒนากาย อารมณ์ จิต และปัญญา โดยเฉพาะการพัฒนาจิตใจจะต้องเน้นให้มากๆ จะต้องสร้างคนให้มีจิตอาสามากขึ้น หากไม่พัฒนาจิตใจจะทำให้เมืองกลายเป็นป่าคอนกรีตไม่มีชีวิต ทั้งนี้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ชาวจีนเห็นตัวอย่างในประเทศไทยว่า ถึงแม้จะเป็นเมืองใหญ่ แต่เราก็มีวัดเป็นศูนย์กลางคอยอบรมจิตใจคนอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้คนไทยยังไม่แล้งน้ำใจและยังมีจิตใจโอบอ้อมอารีอยู่ ซึ่งอาตมาจะนำข้อดีของไทยแลกเปลี่ยนให้ชาวจีนได้เห็นและจะเก็บสิ่งที่ดีในการพัฒนาพระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จีนกลับไปพัฒนาพระพุทธศาสนาของเราด้วย" หน้า 31